พ.ต.อ.ดุษฎี กล่าวด้วยว่า มันไม่ใช่มีคดีนี้คดีเดียวที่จะต้องทำร่วมกัน มันยังมีคดีอื่นที่ยังต้องเกิดขึ้นอีก ซึ่งทางผู้สื่อข่าวก็จะเห็นเป็นขั้นเป็นตอนอยู่แล้วว่าการพัฒนาและการทำงานของทั้งสองฝ่ายทำอย่างไร การที่สื่อมวลชนให้ความสนใจและเสนอข่าวสารไป บางทีประชาชนทั่วไปสนใจมากจนมองกลายเป็นเรื่องเรียลลิตี้ไป เป็นเรื่องของการโหวตว่าใครผิดใครไม่ผิด ซึ่งมันไม่ใช่ มันต้องเป็นเรื่องของการนำพยานหลักฐานมาเสนอต่อศาล และให้ศาลเป็นคนตัดสิน
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีมีบุคคลทั่วไปที่ติดตามเรื่องนี้มาโดยตลอด และลงพื้นที่ไปหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือนางจอมทรัพย์ ทางกระทรวงยุติธรรมจะนำข้อมูลตรงนี้มาเป็นหลักฐานด้วยหรือไม่ รองปลัดยธ. กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ กระบวนการยุติธรรม ซึ่งขณะนี้อยู่ในชั้นศาลแล้ว
ส่วนที่ปรากฎอยู่บนโซเชียลมีเดียนั้น มันเป็นเรื่องของคนที่เขาอินกับเรื่องนี้จัด และลงไปทำงานเรื่องนี้เอง เหมือนกับเป็นพวกแฟนคลับ ซึ่งตรงนี้มันไม่ใช่ มันเป็นเรื่องของอะไรที่เป็นพยานหลักฐานเราถือว่าอันนี้สำคัญที่สามารถทำให้ศาลกลับคำตัดสินของศาลได้เราทำเรื่องนี้เป็นหลัก ซึ่งจากการที่ตนให้สัมภาษณ์ไปแล้ว ก็จะทราบว่าเรามุ่งเน้นไปที่รถยนต์ของนางจอมทรัพย์ ว่าไม่เคยเกิดอุบัติเหตุมาก่อนเลย เพราะไม่เคยมีประจักษ์พยานเห็นนางจอมทรัพย์ขัยรถคันนี้เลย ซึ่งคนที่ลงพื้นที่ไปหาหลักฐานด้วยตัวเองก็ถือว่ามีเจตนาดี แต่เราก็ต้องเลือกใช้หลักฐาน ซึ่งเราได้เลือกไปแล้วไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากนี้
เมื่อถามต่อว่า ทางกระทรวงยุติธรรมมีพยานของนางจอมทรัพย์ไว้กี่ปาก พ.ต.อ.ดุษฎี กล่าวว่า เรามีพยานทั้งหมด 10 ปาก เป็นนางจอมทรัพย์ พยานในชั้นไต่สวน และพยานใหม่รวมแล้ว 7 ปาก รวมถึงพนักงานสอบสวน 1 ปาก และผู้ชำนาญการอีก 2 ปาก รวมแล้ว 10 ปาก
นอกจากนี้ ยังมีพยานเอกสารอื่นอีก ทั้งนี้ ส่วนผลจะออกมาเป็นอย่างไร และจะมีการเอาผิดกับพนักงานสอบสวนหรือไม่ ตรงนี้มันเป็นเรื่องของต้นสังกัด ซึ่งต้องดูว่าเขาทำงานครบถ้วนหรือยัง เพราะหลักฐานทางวิทยาศาสตร์หลายอย่างในสมัยนั้นมันไม่มี เขาได้ทำตามอำนาจหน้าที่ของเขาเต็มที่แล้วจากพยานที่เขาได้มา โดยส่วนตนแล้วก็ยังไม่เห็นถึงความบกพร่อง ดังนั้น ต้องค่อยๆดูค่อยๆไป อย่าเพิ่งคิดไปก่อน เพราะคิดไปก่อนมันไม่ไปให้ความเป็นธรรมกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง