ย้อนกลับไปปี2556 วันนั้นผมไปเล่นดนตรีเปิดหมวก เวลาสักประมาณ19.30น.ได้มั้ง กำลังเล่นสนุกสนานเลยกับเพื่อนคนนึงชื่อเสก ทำงานเป็น รปภ.ที่ห้างสรรพสินค้า เล่นกันบนสะพานลอย จู่ๆมีผู้ชายคนนึงลักษณะดังรูป
แต่วันนั้นเขาเดินถือขวด เก็บขวด เดินมาผ่านไปผ่านมาสักราว5รอบได้มั้ง พอมารอบที่6โยนเงินให้1บ.
และยกมือไหว้ เวลาผ่านไปสัก1ปี เจอเขาอีก ครั้งนี้ผมเล่นคนเดียว เขาเดินมาให้1บ. และมานั่งฟังข้างๆผม พร้อมกับถือแก้วน้ำพลาสติกแก้วนึง ในสภาพที่ก้มหัวขอเงิน พลางฟังเพลงที่ผมเล่นผมร้อง ผมเดินไปถามชายผู้นี้ว่า "กินข้าวรึยังล่ะ" ชายคนนี้พยักต์หน้า ผมเดินไปซื้อลูกชิ้นอบสมุนไพรจากร้านรถเข็นของเพื่อนที่เป็นพ่อค้าที่รุ้จักกัน ในนั้นมีลุกชิ้นเนื้อ1ไม้ และไส้กรอกรมควัน1ไม้ ผมยื่นให้เขาเพราะเขามีน้ำใจกับผม ให้เงินตั้ง1บ. เยอะครับ เพราะในเนื้อตัวและชีวิตของเขาตอนนั้นมีไม่ถึง10บ. สิ่งที่ชายคนนี้ปฏิบัติกับผมคือ "ยกมือไหว้" พร้อมกับปฏิเสธ ผมบอกด้วยความรุ้สึกรักเขาด้วยคำพูดที่อ่อนโยนในเงินมหาศาลที่เขายกให้ผม "ว่าเอาไปเถอะ วันนี้พี่กินให้อิ่ม" ชายคนนี้กลับส่ายหัว และชี้ไปที่กีต้าร์ของผมแล้วปรบมือ รัว ก้มหัวให้ผม ผมก้มหัวให้เขา น้ำตาของผมไหลในวันนั้น ก่อนจะชี้ไปที่สุนัขจรจัดที่อยุ่ละแวกนั้น เดิมทีสุนัขตัวนี้มียามเลี้ยง แต่บางวันก็ไม่ให้ มันจึงอาศัยที่นั้นหลับนอน ด้วยร่างผอมติดกระดูก เดินตามกลิ่นมาหาผม ชายคนนี้ชี้ไปที่สุนัขและพูดว่า "มันยังไม่ได้กินเลย" เมื่อพูดจบประโยคชายคนนี้ลงไปกอดเล่นกับมัน หยิบถุงลุกชิ้นที่ผมซื้อ ลงไปให้สุนัขจรจัดตัวนั้นกิน ผมเจอเขาอีกครั้งในร้านสะดวกซื้อในวันนั้น แล้วกลับย้อนนึกไปถึงผู้ชายคนนี้ในเมื่อ2-3ปีก่อน นึกทีไรมันทำให้ผมมีความสุข สุขอย่างพองโต รู้สึกว่าหัวใจของตัวเองมันพองโตขยายๆออกเรื่อยที่ได้นึกถึงผู้ชายคนนี้ อย่าดูคนเพียงเปลือก อย่าดูที่ภายนอก คนเลือกเกิดไม่ได้
เรื่องของขอทานผู้นี้เป็นตัวอย่างนึงที่ดีจะให้คนไทยอย่างพวกเราได้รู้ว่า
"มนุษย์เราเกิดมาเลือกที่จะเป็นคนครบ32ไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะเป็น "คนดี"ได้"