ความคืบหน้าของ เด็กหญิงพิสมัย (หรือน้องเขียว) งอกสุก อายุ 12 ปี นักเรียนชั้น ป.4 โรงเรียนบ้านคำหมาในร่องเข ตำบลนาเลิน อำเภอศรีเมืองใหม่ จังหวัดอุบลราชธานี ถูกทิ้งให้อยู่บ้านเพียงลำพัง มีชีวิตอยู่ด้วยความยากลำบากต้องออกรับจ้างเพื่อนบ้านดูแลคนป่วย ชักผ้า ทำงานบ้าน เลี้ยงเด็ก เพื่อแลกอาหารและเงินมาเรียนหนังสือ อยู่ด้วยความอดทนและความเหงา ไม่ร่าเริงเหมือนเด็กในวัยเดียวกัน สาเหตุจากหลายปัญหาที่มารุ่มเร้าครอบครัว ทำให้เป็นคนพูดน้อยและขาดความมั่นใจ
จากกรณีที่ ในหลวงทรงพระกรุณาพระราชทานความช่วยเหลือ รับ "น้องเขียว" ด.ญ.พิสมัย งอกสุข วัย 12 ปี ที่อยู่บ้านลำพัง ไม่เคยเห็นหน้าพ่อแม่ ไว้ในพระราชานุเคราะห์พร้อมทั้งพระราชทานทุนการศึกษาให้สูงสุดเท่าที่จะเรียนได้ ล่าสุดนายดิสธร วัชโรทัย ประธานกรรมการบริหารมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ มอบหมายให้ นายเกรียงเดช วัฒนวงษ์สิงห์ ปลัดจังหวัดอุบลราชธานี และนางศรีนภา สวัสดิกุล เจ้าพนักงานพัฒนาสังคมชำนาญงาน สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จังหวัดอุบลราชธานี เดินทางไปรับตัว ด.ญ.พิสมัย หรือ น้องเขียว งอกสุข อายุ 12 ปี เด็กหญิงที่อาศัยอยู่บ้านเพียงลำพัง ไม่เจอหน้าพ่อแม่มากว่า 10 ปี ที่ โรงเรียนบ้านคำหมาในร่องเข ตำบลนาเลิน อำเภอศรีเมืองใหม่ จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อนำเด็กหญิงพิสมัย มาพักอาศัยชั่วคราว อยู่ที่ บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดอุบลราชธานี ถ.พนม ต.ในเมือง อ.เมืองอุบลราชธานี ในระหว่างการประสานงานเข้าศึกษาต่อ ที่ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 32 ต.ไร่น้อย อ.เมืองอุบลราชธานี ในวันจันทร์ ที่ 25 ส.ค.57
วันที่ 21 ส.ค. เวลา 16.00 น. ผู้สื่อข่าว ข่าวสด ชลบุรีรายงานว่า ทาง นางสายสมร คุ้มครอง กำนันตำบลบ้านเก่า อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พานทอง ได้ออกสอบถามหลังทราบข่าวว่าพ่อและแม่ ของน้องพิสมัย ได้มาพักอาศัยอยู่ในพื้นที่ จนในที่สุดก็พบว่าพ่อ และแม่ของน้องพิศสมัยมาพักอาศัยอยู่ที่แค้มป์คนงานร้างหลังสนามกีฬาองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านเก่า หมู่ที่ 3 ตำบลบ้านเก่า อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี ที่ไม่มีใครพักอาศัยอยู่ พอเข้าไปก็พบกับ นายทองคำ งอกสุก อายุ 72 ปี และนางแพง ส่งศรี อายุ 48 ปี พ่อและแม่น้องพิศสมัย โดยได้พักอาศัยหลบนอนอยู่ในแค้มป์คนงานร้างดังกล่าว มีผ้ายางสีฟ้า 1 ผืนสำหรับปูนอน ซึ่งอยู่ในสภาพที่แร้นแค้น ในเบื้องต้นนางสายสมร กำนันตำบลพานทองได้มอบเงินจำนวนหนึ่ง พร้อกับที่นอน ข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น และพร้อมที่จะทำการช่วยเหลือหากว่านายทองคำกับภรรยาจะกลับบ้านก็จะให้คนไปส่งอีกด้วย
นายทองคำ เปิดเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า เมื่อประมาณ 1 ปีที่ผ่านมาได้รู้จักกับช่างแดง ไม่ทราบชื่อและนามสกุลจริง ช่างก่อสร้างชักชวนให้มาอยู่เพื่อมาเฝ้าแคมป์คนงาน โดยตนและนางแพง ไม่ค่อยจะมีงานทำ เนื่องจากตนอายุมากแล้วทำงานก่อสร้างแบบหนักๆไม่ไหวจึงไม่ค่อยมีใครจ้าง จะจ้างก็เพียงแต่ให้ไปถอนตะปูจากไม้ที่ก่อสร้าง และรับจ้างถอนหญ้าตัดหญ้า อดมื้อกินมื้อ รับจ้างชาวบ้านเพื่อแลกกับข้าวกินไปวันๆ โดยนายทองคำ ยังเล่าต่ออีกว่าได้ออกมาจากบ้านที่จังหวัดอุบลราชธานี มาประมาณ 10 ปีกว่า มาอยู่ในกรุงเทพ หลายปีโดยหางานรับจ้างทั่วไป จากนั้นก็ระเห็จระเหินไปตามจังหวัดต่างๆ จนล่าสุดได้เข้ามาอยู่ที่จังหวัดชลบุรี ได้ประมาณ 1 ปี โดยได้เดินถามงานเขาไปทั่วจนล่าสุดได้มาอยู่เฝ้าแคมป์คนงานแห่งนี้ได้ประมาณ 3-4 เดือน ทุกวันนี้อยู่อย่างลำบากมาก
นายทองคำ เปิดเผยอีกว่าว่า ชาวบ้านเขาบอกว่าผมเป็นปอบออกหากินคนโน้นกินคนนี้ ทำให้คนในหมู่บ้านตายบ้าง จนเขาไม่ยอมให้อยู่ในหมู่บ้าน ผมกับภรรยาก็จึงตัดสินใจเดินทางเข้าไปหางานทำที่กรุงเทพตั้งแต่นั้นมาเร่ร่อนหางานทำมาเรื่อย และขนกระทั่งมาอยู่ที่ชลบุรีมีคนใจบุญจำได้ว่าชื่อช่างแดง ชวนมาพักที่แค้มป์คนงานดังกล่าวได้ประมาณ 1 ปีแล้ว ทำการเก็บเศษเหล็ก ตะปูขายประทังชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้ อยากกลับไปเยี่ยมบ้านไปหาลูกสาวเป็นห่วงมาก แต่เขาก็ไม่ให้เข้าหมู่บ้าน เขาบอกว่าถ้าเห็นผมกับเมียเมื่อไหร่ก็จะยิงทิ้งทันที ผมก็กลัวเลยไม่ได้กลับบ้าน พอคิดถึงลูกมากๆ อยากจะกลับบ้านเหมือนมาก