เตือนเด็กเล็กติดไวรัสตับเอทางน้ำ-อาหาร

แพทย์ศิริราช เตือนผู้ปกครองใส่ใจเด็กเล็ก ระวังโรคไวรัสตับอักเสบเอ ติดต่อจากอาหาร-น้ำดื่ม เผยอาการมีไข้ต่ำ อ่อนเพลีย ตัว-ตาเหลือง ตับอักเสบไม่มียารักษา แต่ฉีดวัคซีนป้องกันได้

รศ.พ.ญ.กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ

ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า ปัจจุบันพบเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดเอ ในเด็กได้น้อยลง เมื่อเทียบกับในอดีต เนื่องจากอนามัยส่วนบุคคลที่ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม

ไวรัสตับอักเสบเอ มักพบในน้ำมูก น้ำลาย เสมหะ หรือในอุจจาระของผู้ที่เป็นพาหะ เมื่อได้สัมผัสเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ จะสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ ทั้งนี้ เด็กที่ได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกายมีระยะฟักตัว 15-50 วัน โดยในช่วง 3-7 วันแรก จะมีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน เจ็บบริเวณชายโครงขวา

"หลังจากนั้น ปัสสาวะมีสีเหลืองเข้ม

ขึ้นเหมือนชา ช่วงนี้ไข้จะเริ่มลดลง อาการอาเจียนจะค่อยๆ หายไป เริ่มอยากอาหาร ในขณะเดียวกัน จะมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง อ่อนเพลีย ซึ่งเป็นอยู่ราว 1-4 สัปดาห์ และหายเป็นปกติ

ในบางรายอาจมีอาการตับอักเสบรุนแรงได้

สำหรับการรักษาในปัจจุบัน ยังไม่มีการรักษาเฉพาะ และไม่มียาฆ่าเชื้อ โดยให้เด็กพักผ่อนให้มาก ไม่ควรปล่อยให้เด็กเล่นซนในช่วงที่มีอาการตัวเหลือง อาจต้องให้พักการเรียนอย่างน้อย 2 สัปดาห์" รศ.พ.ญ.กุลกัญญา ระบุ

รศ.พ.ญ.กุลกัญญา กล่าวอีกว่า

นอกจากนี้ หากยังมีอาการคลื่นไส้ เบื่ออาหาร ควรเน้นให้เด็กรับประทานอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล เช่น น้ำหวาน เมื่อหายจากอาการคลื่นไส้ เบื่ออาหาร จึงให้รับประทานอาหารทั่วไปตามปกติ

และควรหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกไขมัน

เพราะอาจทำให้เกิดอาการท้องอืดและปวดท้องได้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ ติดต่อได้ทางน้ำดื่มและอาหาร ดังนั้น หากผู้ป่วยและคนใกล้ชิดไม่รักษาอนามัยส่วนบุคคลให้ดีแล้ว อาจเกิดการติดเชื้อหรือการแพร่ระบาดของโรคได้

วิธีป้องกันอีกวิธีหนึ่ง คือการให้วัคซีน

ซึ่งควรฉีดในวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกัน ส่วนเด็กให้ฉีดวัคซีนได้ตั้งแต่อายุ 1 ปีขึ้นไป และควรปรึกษาแพทย์หากต้องการฉีดวัคซีนนี้ การดื่มน้ำมากๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ

รวมถึงการพักผ่อนให้เพียงพอ

เพื่อลดการทำงานของตับไม่ให้มากเกินไป จะช่วยให้ตับซ่อมแซมตัวเองได้เร็วขึ้น ถือเป็นสิ่งที่ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบเอ ควรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ร่างกายกลับสู่ปกติได้เร็วขึ้น รศ.พ.ญ.กุลกัญญา กล่าว

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก