ย้อนรอย Pea Soup Fog หมอกควันพิษในประวัติศาสตร์ลอนดอนที่คร่าชีวิตผู้คนนับหมื่น!
หน้าแรกTeeNee ที่นี่ข่าววันนี้, ข่าวหน้าหนึ่ง ภัยพิบัติ ย้อนรอย Pea Soup Fog หมอกควันพิษในประวัติศาสตร์ลอนดอนที่คร่าชีวิตผู้คนนับหมื่น!
เหตุการณ์ที่พี่กำลังพูดถึงนี้คือ “Great Smog of London” ที่เกิดขึ้นในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 5-9 ธันวาคม ปี 1952 บางคนก็เรียกว่า “Pea Soup Fog” ที่แปลว่า หมอกซุปถั่ว เนื่องจากหมอกที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเรียกได้ว่าหนามากๆ แถมมีสีอมเหลือง อมเขียว เหมือนกับซุปถั่วนั่นเองค่ะ
ที่จริงแล้วปัญหาเรื่องมลพิษในอากาศจะเรียกว่าเป็นสิ่งที่คนลอนดอนสมัยก่อนคุ้นเคยดีก็ว่าได้ เพราะในยุคนั้นอังกฤษยังใช้พลังงานจากถ่านหินเป็นหลัก และถ่านหินที่ใช้กันในประเทศส่วนใหญ่เป็นถ่านหินอ่อนซึ่งมีคุณภาพต่ำ ในขณะที่ถ่านหินที่มีคุณภาพดีกว่านิยมส่งออกไปต่างประเทศแทน ซึ่งการเผาถ่านหินนี้เองทำให้เกิดเขม่าดำ ฝุ่นละออง รวมไปถึงสารพิษอย่างซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่เป็นอันตรายต่อร่างกายเมื่อหายใจเข้าไป หากถามว่าร้ายแรงขนาดไหน ก็คือในระดับคนที่สูดดมเข้าไปในปริมาณมากเสียชีวิตได้เลยล่ะค่ะ
“หมอกซุปถั่ว” เกิดขึ้นได้ยังไงกัน?
ก่อนหน้านี้แม้อากาศในเมืองจะไม่ดีสักเท่าไหร่ แต่ผู้คนก็ยังใช้ชีวิตได้เพราะยังมีการถ่ายเทอากาศไปมา จนกระทั่งถึงหน้าหนาวช่วงต้นเดือนธันวาคม ปี 1952 อากาศปีนั้นหนาวเย็นกว่าปกติ ทำให้ประชาชนทั่วไปใช้ถ่านหินในการจุดเตาผิงเพิ่มความอบอุ่นในบ้านเป็นจำนวนมากขึ้น โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ก็ยังใช้ถ่านหินและผลิตเขม่าควันปริมาณมากตามเคย กิจวัตรประจำวันของทุกคนดำเนินไปตามที่ควรจะเป็น แต่ในวันที่ 5 ธันวาคม กรุงลอนดอนกลับถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนาชนิดที่ว่าก้มลงมองเท้าตัวเองยังไม่เห็น
ไม่มีใครตระหนกว่าหมอกนี้มาจากไหน เพราะเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดหมอกในลอนดอน แต่ความโชคร้ายคือตรงนี้แหละค่ะ ในตอนนั้นพื้นที่ในกรุงลอนดอนเกิดการผกผันของอุณหภูมิขึ้น ทำให้อุณหภูมิต่ำลงพร้อมกับความกดอากาศสูงขึ้น เป็นสาเหตุให้อากาศร้อนลอยตัวขึ้นไปอยู่ข้างบนและอากาศเย็นไหลลงมาอยู่ข้างล่างแทน ดูเผินๆ แล้วเหมือนจะดีใช่มั้ยคะ แต่เจ้าอากาศเย็นที่ว่านี้ทำให้ลมที่เคยมีนิ่งสนิท บรรดามลพิษทางอากาศที่ควรถูกพัดปลิวกระจายไปจึงลอยต่ำอยู่ภายในเมือง ส่งผลให้ลอนดอนกลายเป็นเมืองใต้หมอกพิษไปโดยสมบูรณ์
ผลกระทบจากหมอกพิษในเมืองหลวง
เจ้าหมอกที่ว่านี้หนามากขนาดที่ในบางพื้นที่ไม่สามารถมองเห็นเท้าตัวเองขณะเดินอยู่เลยล่ะค่ะ หนำซ้ำการคมนาคมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นรถไฟ เรือ และเครื่องบินต่างหยุดชะงักไปหมด เพราะวิสัยทัศน์ในการมองเห็นต่ำเตี้ยเรี่ยดินสุดๆ มีเพียงรถไฟใต้ดินเท่านั้นที่ยังใช้ได้ แม้กระทั่งคนเดินเท้าก็ต้องคอยระวังไม่ให้ลื่นล้มจากคราบเขม่ามันดำที่เคลือบไปทั่วทางเท้า
ในขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ก็ออกมาเตือนพ่อแม่ให้ดูแลเด็กๆ แต่ภายในบ้าน เพราะอาจพลัดหลงกันได้ นอกจากนี้ในระหว่างที่หมอกปกคลุมอัตราการเกิดอาชญากรรมก็มากขึ้นด้วยเช่นกัน ทั้งชิงทรัพย์ ปล้น และล้วงกระเป๋า บรรดาโจรทั้งหลายต่างฉวยโอกาสก่อเหตุในตอนนี้เพราะหมอกหนามากเสียจนไม่สามารถมองเห็นได้ว่าใครเป็นคนลงมือ
ที่สำคัญคือหมอกซุปถั่วนี้ไม่ได้อยู่แค่ข้างนอกเท่านั้น แต่มันยังแทรกเข้าไปภายในอาคารได้อีกด้วย กระทั่งโรงหนังยังต้องปิดให้บริการเพราะคนไม่สามารถมองเห็นจอได้เลย
“หมอกซุปถั่ว” หมอกพิษที่อันตรายถึงชีวิต!
อย่างที่พี่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าหมอกควันที่เกิดขึ้นไม่ใช่หมอกธรรมดา แต่เป็นหมอกพิษร้ายแรงและส่งผลต่อสุขภาพร่างกายโดยตรง โดยเฉพาะกับเด็ก ผู้สูงอายุ และคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบหายใจ แต่กว่าที่คนจะตระหนักได้ว่ามันอันตรายก็ตอนที่โลงศพและช่อดอกไม้ขาดตลาดนั่นแหละค่ะ เพียงแค่ 5 วันที่หมอกควันพิษปกคลุมลอนดอน ตัวเลขของผู้เสียชีวิตด้วยโรคหลอดลมอักเสบและปอดอักเสบสูงขึ้นถึง 7 เท่า และอัตราการตายในย่านอีสต์เอนด์ (East End) ก็พุ่งมาถึง 9 เท่าเลยทีเดียว นับแค่จำนวนคนที่เสียชีวิตทันทีจากเหตุการณ์นั้นก็สูงถึง 4,000 คนแล้วค่ะ ซึ่งในภายหลังนักวิชาการหลายคนก็ออกมาบอกว่า มีคนเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้อย่างน้อย 8,000 คน และอาจสูงถึง 12,000 คนเลยด้วยซ้ำ แถมยังมีอีกกว่า 100,000 รายที่ได้รับผลกระทบด้านสุขภาพอีกต่างหาก
“กฎหมายอากาศสะอาด” มาตรการที่รัฐบาลอังกฤษเริ่มขึ้นหลังเหตุการณ์
เนื่องจากหมอกเป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นเป็นปกติในลอนดอน ทำให้ไม่มีใครตื่นตัวกับเรื่องนี้เลย ซึ่งนั่นก็รวมไปถึงรัฐบาลด้วยเช่นกันค่ะ อย่างไรก็ตามในวันที่ 9 ธันวาคม หมอกพิษก็ค่อยๆ สลายตัวเนื่องจากลมทางฝั่งตะวันตกพัดมา หลังเหตุการณ์ผ่านพ้น รัฐสภาอังกฤษได้ออก “กฎหมายอากาศสะอาด” (Clean Air Act) ในปี 1956 เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษ โดยจำกัดการเผาถ่านหินในเขตเมือง และให้อำนาจเทศบาลท้องถิ่นในการจัดตั้งเขตปลอดบุหรี่ขึ้น รวมไปถึงให้เงินสนับสนุนแต่ละบ้านเพื่อเปลี่ยนการใช้ถ่านหินมาเป็นพลังงานทางเลือกอื่นๆ เช่น ใช้ก๊าซ น้ำมัน หรือไฟฟ้าแทน พี่ว่าน่าชื่นชมรัฐบาลอังกฤษที่มองเห็นปัญหาและหาทางแก้ไขอย่างจริงจัง แม้จะใช้เวลาปี แต่ในที่สุดก็เห็นผลดีตามมาแบบในปัจจุบันค่ะ
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!" ประกาศ "
ร่วมแสดงความคิดเห็น