ศาลจำคุก 2 ´ไต้หวัน´ ขนผงขาวหนัก 7 กก.

ศาลสั่งจำคุกชาวไต้หวันฐานค้าเฮโรอีน แอบซุกซ่อนในเทวรูปตบตาเจ้าหน้าที่เพื่อส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศ เปิดเผยเมื่อวันที่ 23 ก.พ. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาในคดียาเสพติด ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดียาเสพติด 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายหยาง จื้อ เหวิน อายุ 32 ปี และนายมู่ เจิ้ง ซง อายุ 40 ปี ชาวไต้หวัน เป็นจำเลยที่ 1 และ 2 ในความผิดฐานร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เฮโรอีน) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย

โดยคำพิพากษาใจความว่า โจทก์ฟ้องและนำสืบว่า เมื่อวันที่ 22 ก.พ. 49 เวลากลางคืน จำเลยทั้ง 2 คนร่วมกันนำเฮโรอีนที่บรรจุในกระเป๋าผ้าสีดำ น้ำหนักรวม 6.9 กก. เตรียมลักลอบส่งออกข้ามประเทศ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ได้รับแจ้งจากสายลับว่า มีชาวจีน 2 คนอาศัยอยู่ที่ แอลเอทาวเวอร์ ย่านดินแดง กทม. จะนำยาเสพติดลักลอบส่งออกนอกประเทศ

จึงให้สายลับเฝ้าซุ่มดูเหตุการณ์เอาไว้ พบจำเลยทั้ง 2 กำลังเดินทางออกจากที่พักในอาคารดังกล่าว โดยขับรถกระบะออกไป ตำรวจจึงสะกดรอยตามไปห่างๆแต่คลาดกัน จึงตัดสินใจย้อนกลับมาดักรอที่แอลเอทาวเวอร์อีกครั้ง กระทั่งกลางดึกคืนเดียวกัน จำเลยทั้ง 2 ได้ขับรถคันเดิมกลับมา เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวขอ ตรวจค้น พบเฮโรอีนจำนวน 20 แท่ง อยู่ในกระเป๋าผ้าสีดำใบใหญ่ และเข้าตรวจค้นห้องพักพบรูปปั้นโลหะเทพนม ที่ใช้บรรจุซุกซ่อนยาเสพติด

ในชั้นจับกุมจำเลยทั้ง 2 ให้การรับสารภาพ และในชั้นพิจารณาคดี จำเลยที่ 1 รับสารภาพว่ามีอาชีพเป็นผู้ส่งออกอัญมณี ของโบราณ และงาช้างไปประเทศไต้หวัน ส่วนยาเสพติดนั้นรับมาจาก จ.ท่าขี้เหล็ก ชายแดนไทย-พม่า เพื่อส่งต่อไปขายยังประเทศจีน ส่วนจำเลยที่ 2 กลับคำให้การปฏิเสธในชั้นพิจารณาคดีว่าไม่เกี่ยวข้องกับการขนย้ายยาเสพติด แต่ถูกจำเลยที่ 1 จ้างวานให้ขับรถไปส่งเท่านั้น โดยทำธุรกิจจัดหาแรงงานไทยส่งไปทำงานที่ประเทศไต้หวัน

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานนำสืบทั้ง 2 ฝ่ายแล้วเห็นว่า พยานหลักฐานจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ได้ จำเลยทั้ง 2 กระทำผิดจริงตามฟ้องข้ออ้างของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษาให้ประหารชีวิตจำเลยทั้ง 2 แต่เนื่องจากจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในชั้นพิจารณา และจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม เป็นประโยชน์ในการพิจารณาคดีอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยที่ 1 กึ่งหนึ่งและลดโทษให้จำเลยที่ 2 ให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 50 ปี และจำคุกจำเลยที่ 2 ตลอดชีวิตและริบของกลาง