เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 29 พฤษภาคม ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ นายกล้านรงค์ จันทิก โฆษกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แถลงผลประชุมป.ป.ช.ชุดใหญ่ เพื่อพิจารณาเรื่องกล่าวหานายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ขณะดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงคมนาคม (คค.) ร่ำรวยผิดปกติเพิ่มเติม ภายหลังจากมีมติให้เงินของกลางที่ถูกคนร้ายปล้นไป 17.5 ล้านบาทตกเป็นของแผ่นดิน ว่า ที่ประชุมป.ป.ช.ชุดใหญ่ได้พิจารณาทรัพย์สินเพิ่มเติม 2 ส่วน 1.ทรัพย์สินที่นายสุพจน์ยื่นไว้ในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อป.ป.ช. โดยเฉพาะในส่วนของเงินฝากในบัญชีธนาคารต่างๆ ที่พบว่ามีจำนวนมากถึงหลายสิบล้านบาท อย่างไรก็ตาม นายสุพจน์ได้ทำหนังสือขอความเป็นธรรมมา เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2555 ให้ไต่สวนพยานหลักฐานเพิ่มเติมจากที่เคยชี้แจงต่อคณะอนุกรรมการไต่สวนไว้ โดยอ้างว่าเงินฝากในบัญชีธนาคารต่างๆ นับแต่ยื่นแสดงรายการต่อป.ป.ช.ครั้งแรก เมื่อดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารบริษัท การท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เมื่อปี 2541 นายสุพจน์ได้มาจากการร่วมหุ้นซื้อขายดินในโครงการต่างๆ หลายครั้ง ตั้งแต่ปี 2530-2539
“ที่ประชุมป.ป.ช.พิจารณาแล้วเห็นว่าเพื่อความเป็นธรรม จึงมอบหมายให้อนุกรรมการไต่สวนเชิญนายสุพจน์นำพยานหลักฐานมายืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าว ภายในเวลา 15 วัน” นายกล้านรงค์กล่าว
นายกล้านรงค์ กล่าวว่า 2.ทรัพย์สินอื่นๆ ที่นายสุพจน์ไม่ได้ยื่นแสดงรายการต่อป.ป.ช. จากการขอหมายศาลเข้าไปตรวจค้นบ้านของนายสุพจน์ ภายหลังถูกคนร้ายปล้นเมื่อวันที่ 12 พ.ย.2554 พบว่ามีรถยนต์หลายคัน โดย 1 ในนั้นเป็นรถยนต์โฟล์กสวาเกน รุ่นคาราเวลล์ เดิมหมายเลขทะเบียน ฮต-8822 กทม. ต่อมาเปลี่ยนมาเป็น ฮบ-8118 กทม. ที่นายสุพจน์อ้างว่าเป็นรถของนายเอนก จงเสถียร โดยให้นางนฤมล ทรัพย์ล้อม ภรรยานายสุพจน์ยืมมาใช้ อ้างว่านางนฤมลเคยไปช่วยงานให้บริษัทของนายเอนก โดยซื้อมาตั้งแต่ปี 2552 แล้วนายสุพจน์กับนางนฤมลใช้รถยนต์คันดังกล่าว
เรื่องนี้โดยข้อเท็จจริงจากการไต่สวนนายเอนกอ้างว่าให้นายสุพจน์ยืมไปใช้เพื่อให้เหมาะสมกับตำแหน่งอธิบดีกรมทางหลวงที่นายสุพจน์เป็นอยู่ในขณะนั้น ที่ประชุมป.ป.ช.เห็นว่ารถยนต์ดังกล่าวไม่ใช่ให้ยืมใช้ แต่เป็นการซื้อให้ จึงมีมติว่ารถยนต์ดังกล่าว เป็นทรัพย์สินที่นายสุพจน์ได้มาโดยไม่มีเหตุอันสมควร ให้ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดยื่นคำร้องต่อศาลให้มีคำสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดินต่อไป
“การรับรถยนต์ดังกล่าวที่มีมูลค่าเกิน 3,000 บาท ยังขัดกับกฎหมายป.ป.ช.มาตรา 103 ที่ประชุมป.ป.ช.จึงมิมติให้แยกเรี่องส่งให้สำนักปราบปรามการทุจริตภาครัฐไต่สวนในเรื่องนี้ต่อไป”นายกล้านรงค์กล่าว