เฝ้าระวัง ชี้5ถนนอันตราย เขย่ากรุง เสี่ยงบึม

ที่กองปราบปราม วันที่ 16 ม.ค.


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ต.วรศักดิ์ นพสิทธิพร ผบก.ป. ได้มีคำสั่งปฏิบัติการที่ 1/2550 เรื่องการป้องกันและรักษาความเรียบร้อย กรณีคนร้ายลอบวางระเบิด ทั้งนี้ สืบเนื่องจากมีเหตุระเบิดเกิดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 31 ธ.ค.ที่ผ่านมา กองปราบปราม จึงให้ กก.1-6 บก.ป. จัดชุดสืบสวนหาข่าวและระมัดระวังเหตุระเบิดที่อาจจะเกิดขึ้นอีก โดยปฏิบัติงานร่วมกับ รถสายตรวจของ กก.ปพ. บก.ป.

โดยจัดรถสายตรวจออกตรวจตราในพื้นที่ต่างรวมผลัดละ 10 คัน วันละ 3 ผลัด และให้จัดตำรวจประจำรถยนต์สายตรวจคันละ 4 นาย มอบหมายให้ พ.ต.อ.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ รอง ผบก.ป. ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการตามแผนอย่างใกล้ชิด ซึ่งจะมีการตั้งโอเปอเรชั่นรูม ไว้คอยรองรับข้อมูลข่าวสารเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์อย่างต่อเนื่องด้วย

นอกจากนี้ ในแผนปฏิบัติการดังกล่าว


กองปราบปรามยังเน้นให้รถยนต์สายตรวจออกตรวจตราบนถนนสายหลักในกรุงเทพฯที่เสี่ยงต่อการเกิดเหตุรวมทั้งสิ้น 5 สาย ประกอบด้วย

ถนนสุขุมวิท

ถนนวิทยุ

ถนนเพลินจิต

ถนนราชประสงค์-ประตูน้ำ และ

ถนนข้าวสาร

รวมทั้งให้ตรวจตราสถานที่สำคัญ และสถานที่ราชการต่างๆเป็นกรณีพิเศษ ประกอบด้วย

ทำเนียบรัฐบาล

รัฐสภา

สถานทูต

ห้างสรรพสินค้า

สถานีขนส่ง

วงเวียนใหญ่

อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

และสนามบินสุวรรณภูมิ

รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า


ในคำสั่งปฏิบัติการดังกล่าวยังเน้นย้ำให้ตำรวจกองปราบปราม กก.1-6 บก.ป. หาข่าวความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้มีอิทธิพล และความเคลื่อนไหวของกลุ่มที่คาดว่าจะก่อความไม่สงบในพื้นที่ ที่เป็นเป้าหมายในการก่อเหตุความวุ่นวายรวมทั้งสิ้น 8 จังหวัด ประกอบด้วย

1.พัทยา จ.ชลบุรี

2.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี

3.อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา

4.จ.ภูเก็ต

5.จ.เชียงใหม่

6.จ.อุบลราชธานี

7.จ.ขอนแก่น และ

8.จ.กาญจนบุรี

โดยให้รายงานผลการสืบสวนแก่ ผบก.ป. ทราบทุกระยะ

ในวันเดียวกันนี้ พล.ต.ท.จงรัก จุฑานนท์ ผู้ช่วยผบ.ตร.(ปป 1)


เปิดเผยว่าได้เรียกคณะพนักงานสอบสวน รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลมาประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าของการสอบสวนและพิจารณาเรื่องที่นายชนาพัทธ์ ณ นคร ให้ข้อมูลว่าเหตุระเบิดเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. ที่ผ่านมานั้น เป็นการกระทำของกลุ่มอำนาจเก่า เมื่อมีผู้มาชี้ช่องให้ก็จะต้องดำเนินการสอบสวนต่อไป โดยนายชนาพัทธ์นัดหมายว่าจะมาให้รายละเอียดในวันนี้ แต่ก็ปรากฏว่าไม่มา

ดังนั้นจะดำเนินการไปตามหลักฐานที่นายชนาพัทธ์ได้มอบให้ไว้ในครั้งแรก โดยได้แบ่งหน้าที่ให้พนักงานสอบสวนไปสอบสวน ขณะเดียวกันก็ให้ทางสันติบาลสืบสวนหาข้อมูลอีกทางหนึ่งด้วย

ผู้สื่อข่าวถามว่าจนถึงขณะนี้พอจะรู้หรือไม่ว่าใครเป็นผู้ลงมือวางระเบิด

พล.ต.ท.จงรักตอบว่าการสอบสวนคืบหน้าไปมาก แต่คงเปิดเผยไม่ได้ เพราะมีคำสั่งให้ทาง กอ.รมน.เป็นผู้ให้ข่าวแต่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น


พล.ต.ท.จงรักกล่าวถึงกรณีนายชนาพัทธ์กล่าวหาพลเอก พ.และตำรวจ สตม.อยู่เบื้องหลังการวางระเบิดว่า

ในส่วนนี้ไม่ได้รับข้อมูลจากนายชนาพัทธ์ เพราะวันนั้นนายชนาพัทธ์มายื่นเรื่องให้ข้อมูลเฉพาะกลุ่มอำนาจเก่าเพียงอย่างเดียว แต่เรื่องนี้ ผบ.ตร.ก็ปฏิเสธไปแล้วว่า ไม่มีตำรวจ สตม.คนใดมีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด

ในส่วนของพนักงานสอบสวนจะต้องพิจารณาไปตามพยานหลักฐาน

การจะดำเนินการใดๆ นั้น พนักงานสอบสวนจะต้องรวบรวมพยานหลักฐาน แล้วจึงไปขอความเห็นชอบต่อศาลในการดำเนินการ จากนั้นต้องส่งสำนวนการสอบสวนไปให้พนักงานอัยการพิจารณาอีก ก่อนจะนำคดีขึ้นสู่ศาล จะเห็นได้ว่าตำรวจไม่สามารถกระทำการเองโดยลำพังได้

เพราะฉะนั้น เรื่องพยานหลักฐานจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

ความรู้สึกนึกคิด หรือความเชื่อเพียงอย่างเดียว คงไม่เพียงพอที่จะฟ้องร้องต่อศาลได้ ต้องมีพยานหลักฐานสนับสนุนด้วย เพราะนี่เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม บางครั้งเราก็พอจะรู้อยู่ว่าเป็นการกระทำของกลุ่มใด แต่การจะหาพยานหลักฐานมัดตัวผู้กระทำผิด เป็นเรื่องไม่ง่ายนัก

ทางพนักงานสอบสวนก็ต้องพยายามกันอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ หรือพยานบุคคลต้องเตรียมไว้ให้พร้อม จึงอยากขอร้องให้พี่น้องประชาชน หากใครรู้เห็นเหตุการณ์วางระเบิดในวันที่ 31 ธ.ค.ที่ผ่านมา ขอให้แจ้งเบาะแสด้วย เพื่อจะได้ร่วมมือกันนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ ให้เกิดความสงบสุขของบ้านเมืองต่อไป

ด้านนายชนาพัทธ์ ณ นคร


ประธานกลุ่มประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และเครือข่ายเตมูจิน กล่าวถึงกรณีที่ไม่เดินทางไปพบ พล.ต.ท.จงรัก จุฑานนท์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ตามที่นัดหมายไว้ว่า ก่อนหน้านี้ พล.ต.ท.จงรักได้นัดไว้ว่าจะขอพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกับตน

แต่หลังจากที่ได้นำข้อมูลบางส่วนไปมอบให้ กลับถูกนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ เตรียมให้สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) ฟ้องร้องตน มีการปกป้องกันอย่างน่าเกลียด แทนที่จะสอบสวนหาข้อเท็จจริง ทำให้รู้สึกไม่มีความเชื่อมั่นในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงไม่ต้องการไปพบ พล.ต.ท.จงรักแล้ว


แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า


พล.ต.ต.ที่อยู่ใน สตม.มีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางระเบิดป่วนเมืองในคืนวันที่ 31 ธ.ค.ที่ผ่านมา คงจะกุมความลับอะไรบางอย่างใน สตม. จึงทำให้ไม่สามารถดำเนินการตรวจสอบตามกฎหมายได้ อีกทั้งนายตำรวจผู้นี้ในอดีตสมัยเรียนโรงเรียนนายร้อยตำรวจมีความสนิทสนมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีอีกด้วย


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์