บ่ายวันศุกร์ที่13 มกราคม ผู้คนในย่านถนนข้าวสาร ถนนวิทยุและสุขุมวิทซอย 21 และอีกหลายๆแห่งที่เป็นย่านท่องเที่ยวการค้าขนาดใหญ่ของกรุงเทพมหานครพากันตื่นตระหนกตกใจที่เห็นกำลังเจ้าหน้าที่พร้อมสุนัขตำรวจเดินตรวจตราพื้นที่อย่างเข้มแข็ง
เวลานั้นผู้คนในพื้นที่ดังกล่าวแทบไม่รู้เลยว่าพื้นที่ตรงนั้นจะเป็นเป้าหมายวางระเบิดของกลุ่มก่อการร้าย
"เฮซบอลเลาะห์"ศัตรูคู่แค้นของ"อิสราเอล"
แต่ในทางการข่าวของหน่วยข่าวกรองทั้งของไทย สหรัฐอเมริกา และอิสราเอลพากันเฝ้าจับตาจะเกิดอะไรขึ้นหลังตำรวจจับกุมนายอาทริส ฮุสเซน ชาวเลบานอน ได้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อเวลา 18.00น.วันที่ 12 มกราคม ขณะกำลังรอขึ้นเครื่องบินสายการบินเอทีฮัด แอร์ไลน์ เที่ยวบิน วายเจ 704 เวลา 20.00น. เพื่อเตรียมเดินทางไปยังกรุงอาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และต่อเครื่องบินมุ่งหน้ากลับประเทศเลบานอน
นายอาทริส ถือพาสปอร์ตสัญชาติสวีเดน เป็น 1ใน3 สมาชิกกลุ่มเอซบอลเลาะห์ที่เตรียมปฎิบัติการโจมตีแหล่งพักอาศัยของชาวยิวในกรุงเทพมหานคร
เมื่อทางการไทยสอบปากคำนายอาทริสยอมรับสารภาพว่าเตรียมแผนโจมตีจริงแต่แผนล้มพับไปแล้ว
เว็บไซต์ของสื่ออิสราเอลชื่อ"ฮาเรตซ์"เขียนโดยนายบารัค ราวิด รายงานอ้างแหล่งข่าวกระทรวงกลาโหมของอิสราเอลระบุฝ่ายไทยกำลังไล่ล่าสมาชิกของกลุ่มเอซบอลเลาะห์อย่างกระชั้นชิด เนื่องจากในวันที่ 12 มกราคมเป็นวันครบรอบวันสังหารนายอิหมัด มูจห์นิเยห์ หัวหน้าหน่วยปฎิบัติการของเฮซบอลเลาะห์
ก่อนหน้านี้ศูนย์ต่อต้านการก่อการร้ายของอิสราเอลออกคำเตือนให้ชาวอิสราเอลออกจากพื้นที่กรุงเทพมหานครรวมถึงห้ามเดินทางไปยังพื้นที่ที่ชาวอิสราเอลอยู่กันพลุกพล่าน
เช่นเดียวกับเว็บไซต์สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐฯประจำประเทศไทย ออกคำเตือนชาวอเมริกันให้ระวังการโจมตีของกลุ่มก่อการร้ายในกรุงเทพมหานคร
มิหนำซ้ำ หลังแถลงการณ์เตือนชาวอเมริกันแพร่สะพัดไม่กี่ชั่วโมง "คริสตี้ เคนนีย์" เอกอัคราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย โพสต์ข้อความบนเว็บไซต์ทวิตเตอร์ว่า "ภัยคุกคามครั้งนี้จริงจัง น่าเชื่อถือและเฉพาะเจาะจงมาที่กรุงเทพฯ"
พร้อมกับคำแถลงจากเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลสหรัฐฯในกรุงวอชิงตันที่สำทับออกมาว่า กรุงเทพมหานครเป็นศูนย์กลางหลักของเครือข่ายฟอกเงินที่ได้จากการค้าโคเคนที่อยู่ในการควบคุมของกลุ่มเฮซบอลเลาะห์
"สำนักงานฝ่ายบังคับกฎหมายของสหรัฐกำลังตรวจสอบเรื่องดังกล่าวอยู่ และนำไปสู่การปิดธนาคารแห่งหนึ่งในเลบานอนซึ่งใช้เป็นแหล่งฟอกเงินหลายร้อยล้านดอลลาร์สหรัฐ"