ระเบิดป่วนกรุงฯ - ระเบิดหน้าตัวเมีย

"ลักษณะระเบิด"


"ระเบิด"นั้นแยกออกเป็น 2 ชนิดใหญ่คือ ระเบิดทำลาย และระเบิดสังหาร โดย 2 ชนิดนี้ยังแยกแตกแขนงไปเป็นระเบิดทำลายโดยแรงอัดอากาศ ทำลายโดยความร้อน(ไฟ)ทำลายโดยก๊าซและวัตถุเคมี ฯลฯ ส่วนระเบิดสังหารนั้นแยกออกเป็น สังหารบุคคล ต่อยานพาหนะ ตามแต่ความต้องการ โดยทางทหารนั้นถือว่ามี 2 ประเภทใหญ่ๆ นี้เท่านั้น แม้ว่าจะมีระเบิดเชื้อโรค ระเบิดเคมีชีวภาพ แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นระเบิดที่ทางการทหารยอมรับ เพราะเป็นระเบิดที่มาจากจิตใจ และการพระทำที่หบาบช้า ไม่ใช่นักรบ ไม่ใช่วิธีของสุภาพบุรุษที่ประกาศสงคราม ถือว่าเป็นอาวุธของคนขี้ขลาดตาขาว หน้าตัวเมีย อะไรทำนองนั้น

เรื่องของ"กับระเบิด"ทำลายบุคคล หรือทำลายยานพาหนะ ก็กำลังถูกจัดเป็นอาวุธนอกตำรับการรบ เป็นระเบิดเลวทราม หรือเป็นอาวุธของ หน้าตัวเมีย เช่นกัน

"ระเบิดนั้นแบ่งลักษณะตามตัวของมันเองได้ 2 อย่างคือ ระเบิดสำเร็จรูปพร้อมใช้ นำไปใช้งานได้ทันที คือผู้ใช้รู้แต่วิธีใช้ก็นำไปใช้ได้ เรียกว่าเป็นระเบิดในระบบราชการ แต่ระเบิดที่มีการผลิต การประกอบนอกโรงงาน ไม่อยู่ในตำรา หรือสายการผลิตทั้งหลาย นำอุปกรณ์ต่างๆ ที่หาได้ เสาะแสวงหามาประกอบกันให้เกิดการระเบิดและทำลายนั้น เป็นระเบิดที่เราเรียกกันว่า "ระเบิดแสวงเครื่อง"

"ความเป็นมาระเบิด"


"ระเบิดแสวงเครื่อง"นี้เฟื่องฟูมากในสมัยสงครามเวียดนาม โโยกองโจรเวียดกง นับว่าเป็นปรมาจารย์ของการผลิตระเบิดแบบนี้ ซึ่งทำให้เกิดการระเบิดได้ในหลายลักษณะ ไม่จำกัดรูปแบบ วิธีการ เช่น ปิดประตูก็ระเบิด หรือจะระเบิดเมื่อเปิดประตู เกิดระเบิดเมื่อยกน้ำหนักขึ้น หรือกดน้ำหนักลง ระเบิดโดยอุณหภูมิและความชื้นของอากาศ ระเบิดโโยกระแสน้ำ หรือน้ำขึ้นน้ำลง รวมไปถึงการสร้างระเบิดเวลาแบบแสวงเครื่อง และระเบิดเวลาทางเคมี ซึ่งขอยกตัวอย่างว่า ระเบิดเวลาแบบหนึ่ง เป็นของที่ทำง่ายยิ่งกว่าเด็กเล่นขายของ คือสารที่ให้ความหวานชนิดหนึ่ง(ขอสงวนไม่ระบุชนิด)ในปริมาณหรึ่งบรรจุอยู่ในภาชนะ แล้วนำน้ำมันชนิดหนึ่งที่มีส่วนผสมและคุณสมบัติทางกัดสนิม(ขอสวงนไม่ระบุชนิด) บรรจุในอุปกรณ์ที่ค่อยๆหยอดลงไป ทั้งสองอย่างนี้จะเกิดปฏิกิริยาทางเคมีในเวลาที่กำหนด แล้วแต่ปริมาณของสารและน้ำมันที่จะทำปฏิกิริยากัน

เวียดกงยังใช้ดิน คือดินธรรมดานี่แหละ เป็นอุปกรณ์การระเบิดได้ คือใส่ดินที่ชุ่มน้ำลงไป ใช้เมล็ดถั่วที่งอกเร็ว ที่แช่น้ำทิ้งไว้ระยะหนึ่งแล้ว เพื่อเป็นการเร่งการงอก วางลงไปบนดิน แล้วนำแผ่นโลหะที่เป็นสื่อไฟฟ้าวางไว้เหนือเมล็ดถั่ว โดยธรรมชาติแล้วถั่วมันจะต้องงอกพุ่งยอดออกมาจาดเมล็ด ยอดถั่วงอกก็จะดันแผ่นโลหะขึ้นมา ไปสู่ปลายสายไฟ ที่มีขั้วบวก-ลบ ต่อจากถ่านไฟฉาย เข้าสู่การต่อวงจรโดยการดันของถั่วงอก

ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างของความไม่ซับซ้อนอะไรของการทำระเบิดแสวงเครื่อง แต่สิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในกระบวนการนั้นคือ "สำนึกของจิตใจ" ที่ซับซ้อนยิ่งกว่าการทำ คือถ้าหากว่ามีจิตใจที่เพียงแต่ว่า ต้องการทำลายโดยไม่เลือกเป้าหมาย ไม่ได้ทำลายต่อบุคคลที่เป็นศัตรูโดยตรง เพียงแต่ให้มันเป็นผลเกิดขึ้น เพื่อการระบิดตูมออกมา ก็ถือว่าเป็นระเบิดสามานย์ ระเบิดหน้าตัวเมีย หรือระเบิดขี้ขลาดตาขาว

"ระเบิดทั้ง 8 ลูก"


"ระเบิดแสวงเครื่อง" 8 ลูก ที่ระเบิดขึ้นในช่วงค่ำวันที่ 31 ธันวาคม 2549 นั้น ก็จัดเป็นระบิดตาขาว หรือระเบิดหน้าตัวเมีย ด้วยเช่นกัน และเป็นหน้าตัวเมียที่วิกลจริต มีจิตใจต่ำกว่าปกติด้วย

การตรวจสอบของตำรวจที่วาดรูปร่างของระเบิดทั้ง 8 ลูกนั้นสรุปได้ว่าบรรจุอยู่ในกล่องเหล็ก ขนาดกว้างและยาวเท่ากันคือ 3 นิ้วครึ่ง มีความสูง 1 นิ้ว นี่คือส่วนที่เป็นภาชนะห่อหุ้ม จัดเป็นตัวระเบิด หรือลูกระเบิด

สำหรับแรงระเบิด นั้นมาจากตัวเร่งคือ เพาเวอร์เจล ดินปะทุอย่างเหลว สำหรับขับแรงระเบิดแรงดันสูง คือแอมโมเนียไนเตรต หรือ ANFO

ทั้ง 8 ลูกนั้น มีส่วนประกอบและลักษณะการทำเหมือนกัน จากแหล่งเดียวกัน โดยมีเศษตะปู และตลับลูกปืนเครื่องจักร โดยให้เม็ดลูกปืนและเศษตะปู เป็นวัตถุทำลายให้เกิดอันตราย

การเปิดเผยจากทางตำรวจไม่ได้มีเพียงลักษณะองค์ประกอบของระเบิดเท่านั้น แต่บอกว่าผู้ทำมีเป้าหมายให้เกิดอันตรายในวงไม่กว้าง ไม่มีการทำอันตรายอย่างร้ายแรง

"ต้องการทำลายชีึวิตมากกว่า"


ในข้อนี้ คือที่ตำรวจบอกว่า มีเป้าหมายไม่ได้เป็นการทำลายล้างอย่างรุนแรงนั้นก็คงจะปรุปตรงที่คุณลักษณะของดินระเบิด คือแอมโมเนียไนเตรต แต่มองข้ามไปในความเป็นจริง คือ ระบิดทั้ง 8 ลูกนี้ ต้องการที่จะล้างผลาญ ทำลายชีวิตของผู้คนในรัศมีการระเบิด และพยายามที่จะให้แรงระเบิดมีอานุภาพเพิ่มขึ้นโดยอาศัยการวาง และจุดที่วางระเบิด

ทางตำรวจอาจจะคิดแต่เพียงว่า จะไม่ให้เกิดความตระหนก หากจะบอกกันตรงๆว่ามีความร้ายแรงมาก จะเกิดผลทางจิตวิทยาและจะเป็นไปตามเป้าหมายของผู้กระทำที่จะทำให้เกิดความตื่นกลัวก็จะเป็นการสรุปทางตำรวจที่พยายามยกประโยชน์ให้ว่า มีความพยายามปกปิดคนผิดไว้ประมาณ 70 %

ในความเป็นจริงที่ นสพ.ผู้จัดการรายวัน ต้องจัด"รายงานพิเศษ" โดยไม่ได้หวังว่าจะทำให้เกิดความตื่นตระหนกเพิ่มขึ้น เพราะว่าขีดของความตระหนกนั้นถึงที่สุดแล้ว เมื่อ"การเมือง"บ้านเราใช้วิธีการเช่นนี้ ซึ่งเป็นวิธีการของการเมืองแบบกองโจร เป็นการสร้างความรุนแรงขึ้นมาอีกรูปแบบหนึ่ง โดยเปิดการรบในเมือง แทนที่จะเป็นการเล่นแผนใต้น้ำ อาศัยการเผาโรงเรียนและไฟฟ้าลัดวงจร เป็นเหตุที่จะต้องจับให้ได้ไล่ให้ทันกันแล้ว เป็นผลจากความเสื่อมทรามของจิตใจนักการเมือง ซึ่งไม่น่าจะเรียกว่านักการเมืองอีกต่อไป

ความเป็นจริงในข้อแรก


การบรรจุหรือยัดวัตถุระเบิดใส่ไว้ในกล่องเหล็กขนาดนั้น (ซึ่งทางตำรวจให้รายละเอียดแต่ขนาดความกว้าง-ยาวและสูง โดยไม่ได้ระบุความหนาของเหล็ก รวมทั้งชนิดของเหล็กว่าเป็นชนิดใด)

กล่องเหล็กเมื่อเกิดการแตกตัวออกเมื่อเกิดระเบิด ตัวสะเก็ดเหล็กที่เป็นสะเก็ดระเบิดจากการหุ้มห่อ มีอานุภาพเท่ากับสะเก็ดของระเบิดมือหรือที่ทางทหารเรียกว่าระเบิดขว้าง การแตกกระจายของเหล็กห่อหุ้มีประมาณ 300 ชิ้น เป็นอย่างน้อย โดยมีการแตกตัวตามแรงระเบิด และตามทิศทางโดยรอบในรัศมีการทำลาย 15-20 เมตร การวางระเบิดที่เกิดขึ้นนี้เป็นการวางแบบไม่บังคับทิศทาง ทำให้มีรัศมีการทำลายโดยรอบ ยกเว้นทางด้านล่าง เมื่อวางกับพื้นดิน แรงอัดระเบิดที่อยู่ในภาชนะที่เป็นเหล็กนั้น มีเป้าหมายในการทำลายต่อบุคคล คือหากยิ่งมีคนอยู่ในรัศมีการระเบิดมากก็จะได้รับอันตรายมากขึ้น และอันตรายจะมีมากในที่อับมากกว่าที่โล่ง

ถ้าหากเป้าหมายต้องการเพียงให้เกิดเสียงดัง เพื่อสร้างความตื่นตระหนก ตามด้วยเหตุการณืชุลมุนและเหยียบกันตายเอง ไม่หวังผลในการทำร้ายผู้คนในรัศมีระเบิด การบรรจุระเบิดจะอยู่ในกล่องกระดาษธรรมดาหรือใส่ภาชนะอื่น ที่ไม่ผลทะลุทะลวง เช่นการพันไว้ด้วยเทปกาว

ข้อที่สอง


การเพิ่มเพาเวอร์เจลต่อเชื้อระเบิดทำให้แรงระเบิดเป็นไปอย่างรุนแรงและฉับพลัน กระแสไฟฟ้าเพียง 6 โวลต์ของถ่านไฟฉาย เป็นแรงกระตุ้นปฏิกริยาต่อเพาเวอร์เจลและขับดินระเบิดแอมโมเนียไนเตรด มากกว่าปกติ 3 เท่า หากไม่มีเพาเวอร์เจลแรงกระตุ้นต่อการระเบิดลดลง ปฏิกริยาแบบต่อเนื่องไม่มีกลายเป็นปฏิกริยาที่ฉับพลันทันที และเมื่อนำไปพิเคราะห์กับการบรรจุไว้ในกล่องเหล็กตามข้อแรก ก็จะเห็นความเป็นจริงยิ่งขึ้นว่า ต้องการให้เกิดผลทำร้ายต่อชีวิตผู้คนเป็นจำนวนมาก แทนที่จะให้เป็นระเบิดโดยเสียง ที่สร้างความตื่นตระหนกเท่านั้น

ข้อที่สาม

ทั้งเพาเวอร์เจลและแอมโมเนียไนเตรด ยากต่อการตรวจสอบหรือค้นหาโดยสุนัขดมกลิ่น จะค้นหาได้โดยค้นพบเองหรือการตรวจจับด้วยเครื่องตรวจจับโลหะ ที่เครื่องมือดังกล่าวมีอยู่หลายชนิด และการใช้นฬิกาแบบดิจิตอลเป็นเครื่องกำหนดเวลานั้น เป้ฯการหลบเลี่ยงเรื่องเสียง และนาฬากาแบบนี้ตั้งเวลาได้แน่นอนกว่านาฬากาแบบอื่น เช่นนาฬิกาแบบเก่า ที่การตั้งเวลาให้เป็น 18.00 น. อาจจะเป็นเวลา 6.00 น.ของวันต่อไปก็ได้ จึงมีการใช้นาฬิกาแบบนี้เพื่อป้องกันความผิดพลาดเรื่องเวลา

ข้อที่สี่

การวางระเบิดที่ป้อมยามตำรวจแคราย สะพานควายและสุขุมวิท 62 นั้นเป็นจุดที่ต้องการชีวิตผู้คน โดยเลือกเอาจุดที่มีการจราจรหนาแน่น โดยไม่ได้ประสงค์จะทำร้ายตำรวจหรือป้อมยามตำรวจและเป็นจุดอ่อนที่สุดในการตรวจสอบเพราะคิดว่าป้อมยามต้องมีตำรวจอยู่

รายงานพิเศษในวันพรุ่งนี้ จะเป็นรายละเอียดรากข้อมูลเบื้องต้น ที่ "การข่าว"และผู้ที่เกี่ยวข้องกำลังประมวล"ค่าของข่าว"อยู่ที่ประเด็นคือ 1. ใครเป็นผู้ทำระเบิด และนำอุปกรณ์ต่างๆมาจากที่ไหน 2. การวางระเบิดตามจุดต่างๆ ตระเวนทำกันอย่างไร และอำพรางตัวในลักษณะใด?

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์