ครูและพยาบาลอีสานกว่า5พันคน เหยื่อบริษัทแชร์ลูกโซ่ จ่าย10,800-18,000บาทแลกทัวร์เกาหลี4วัน แต่เลื่อนตลอด ได้แค่กาแฟผง-โสมเกาหลี ร้องดีเอสไอ
วันนี้(17 มี.ค.) มีครูและประชาชนชาวจังหวัดเลย กว่า 20 คน เข้าให้ปากคำกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) กรณีถูกหลอกไปเที่ยวประเทศเกาหลี ได้เพียงสินค้ามูลค่า 1,000 กว่าบาทไว้ดูต่างหน้า นางวรวรรณ โสระสิงห์ อยู่เลขที่ 209 ม.6 ต.นาด้วง อ.นาด้วง จ.เลย เปิดเผยว่า ถูกบริษัท จีแพทตินั่ม เน็ตเวิร์ค จำกัด โดยน.ส.ภัคณอร พรพลังชญาเอก หรือ"ใหม่" น.ส.ชัญวีร์กร สุวรรณจิระโภคิน ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทฯ และ น.ส.การศศิ โชคอนันตกาล กรรการผู้จัดการบริษัทฯ ได้หาลูกค้าไปท่องเที่ยวประเทศเกาหลี เยี่ยมชมโรงงานและบริษัทผู้ผลิตสินค้า
โดยกลุ่มแรกบริษัทบอกกำหนดออกเดินทางระหว่างวันที่ 18-21 ต.ค.2553 และเลื่อนมาห้าครั้งแล้ว ที่ได้มาเป็นเพียงสินค้ามูลค่าไม่ถึง 1,000 บาท อ้างว่าเป็นสินค้าจากเกาหลี คือ โสมเกาหลี กาแฟผง พร้อมใบเสร็จสินค้าเท่านั้น
"บริษัทอ้างว่าหัวหน้าสายแต่ละจังหวัดโปรโมชั่นกันเอง บริษัทไม่รับรู้ ซึ่งลูกค้าหรือผู้เสียหายคือกลุ่มครู มีการชักชวนกันตามโรงเรียนต่างๆ โดยครูจังหวัดเลย ตอนนี้อยากจะขอเงินคืนเท่านั้น เพราะจ่ายเป็นเงินสดรายละ 10,800 บาท รวมครูที่เสียหายในจังหวัดเลยจำนวนกว่า 1,600 คน รวมเป็นเงินกว่า 17 ล้านบาท" นางวรวรรณ กล่าว
ด้าน นายสมคิด หอมเนตร นักวิชาการอิสระชาวขอนแก่น เปิดเผยถึงวิธีการบริษัทจะจัดโปรโมชั่นโฆษณาชวนเชื่อ
โดยที่ขอนแก่นได้เปิดโรงแรมแห่งหนึ่งย่านถนนมิตรภาพ ประชาสัมพันธ์งานเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2553 มีครูจากภาคอีสานฟังกว่า 1,000 คน มาจากขอนแก่น นครราชสีมา ยโสธร และอื่นๆ ส่วนใหญ่เป็นครู และมีพยาบาลบ้าง นายสมคิด ระบุถึงข้อความประชาสัมพันธ์ว่า ถ้าคนสนใจ จ่ายเงินวันนี้จะได้รับโปรโมชั่นพิเศษค่าเดินทางเพียง 11,000 บาท แต่หากไม่ใช่ช่วงโปรโมชั่นจะต้องจ่ายถึง 15,000 ถึง 18,000 บาท สถานที่ไปเที่ยว คือ เกาะนามิ และอื่น ๆ อีก กำหนดบินกลุ่มแรก 18 - 21 ต.ค.2553 ซึ่งครอบครัวตนจะไปทั้งหมด 3 คน รวมจ่ายเงินไป 33,000 บาท ทางบริษัทอ้างว่าจะรับรองทุกอย่าง ไม่ต้องเสียค่าอะไรเพิ่ม แต่ถึงวันกำหนดก็เลื่อนมาเรื่อยๆ จน 5 ครั้งก็ยังไม่ได้ไป
"เขาเลื่อนมาเรื่อยๆ 18 ถึง 21 ตุลาคม มาเป็น 28 ตุลาคม มาเป็น 14 พฤศจิกายน ถึง 10 ธันวาคม จนถึงวันนี้ ในช่วงนั้นมีผู้เสียหายกลุ่มหนึ่งยื่นร้องเรียนต่อดีเอสไอๆ จึงลงพื้นที่มาตรวจสอบเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม ที่ขอนแก่น และประสานเดินเรื่องไปสอบปากคำผู้เสียหายอื่นๆ อีกที่ เลย ยโสธร อำนาจเจริญ ร้อยเอ็ด รวมแล้วผู้เสียหายไม่ต่ำกว่า 5,000 คนทั่วภาคอีสาน ความเสียหายรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท" นายสมคิด กล่าว
ด้าน นายนิรันดร ไชยศรี พนักงานสอบสวนชำนาญการ กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ในทีมของ พันโทปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ หัวหน้าพนักงานสอบสวนฯ เปิดเผยว่า
คดีนี้คืบหน้าไปแล้ว 80 เปอร์เซ็นต์ ขณะนี้อยู่ระหว่างเก็บตกผู้เสียหายกระจายอยู่หลายจังหวัด เพื่อพิทักษ์สิทธิที่ยังไม่ร้องทุกข์ทั้งการเรียกร้องเงินคืนทางแพ่งให้ผู้กระทำผิดทางอาญา ดีเอสไอต้องให้ความเป็นธรรม ซึ่งผู้ต้องหาและแม่ข่ายบางคนอาจมีเพิ่มตามพยานหลักฐานโยงไปถึง มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งอยู่ในประเทศไทย และเนื่องจากผู้บริหารและลูกข่ายต่างโยนความผิดให้กัน จึงปล่อยให้เขาสู้กันอย่างยุติธรรมไปก่อน ให้รวบรวมหลักฐานมายืนยัน
"ความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นกับชาวบ้านจะต้องมีคนรับผิดชอบต้องรับโทษ เพราะเป็นคดีเงินนอกระบบ ผู้ประกอบการลักษณะนี้ มีข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ที่เรียกว่าแชร์ลูกโซ่ พนักงานสอบสวนก็รวบรวมพยานหลักฐานส่งให้ศาลเป็นผู้พิพากษาความผิดตามกฎมาย คาดว่าเดือนพฤษภาคมนี้ ก็จะสามารถรวบรวมส่งฟ้องศาลได้"
นายนิรันดร กล่าวอีกว่า ขอประชาสัมพันธ์ให้ผู้ใดยังไม่ให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน ก็สามารถปกป้องสิทธิได้เมื่อศาลพิพากษายังไม่เด็ดขาดหรืออย่างไร ก็ยังมีโอกาสไปเข้าชื่อผู้เสียหายได้ที่กลุ่มป้องปราบการเงินนอกระบบ กระทรวงการคลัง