อายซื้อถุงยาง-นร.กรุงติดเอดส์มากสุด

แถมฮิตสลับคู่นอนทั่วปท.ป่วยล้านคน


อธิบดีกรมควบคุมโรคเผยผลสำรวจเอดส์ พบนักเรียน-นักศึกษา อายุ 15-24 ปีมีแนวโน้มติดเชื้อเอดส์เพิ่มขึ้น กทม.มียอดสะสมสูงสุด 92 ราย โดยเฉพาะระดับเด็กชั้น ม.5 มีอัตราผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นมาก สาเหตุจากค่านิยมผิดๆ เรื่องสลับคู่นอน มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร ไม่ใช้ถุงยางอนามัย เพราะอายไม่กล้าซื้อ และมีความรู้เกี่ยวกับการป้องกันในระดับต่ำ ส่วนสถิติผู้ป่วยเอดส์ในไทย ตั้งแต่ปี 27 จนถึงขณะนี้รวมกว่า 1 ล้านคน เสียชีวิตแล้ว 8.5 หมื่นคน เผยคืบหน้าโครงการทดลองวัคซีน ถ้าสำเร็จปี 52 ไทยจะเป็นประเทศแรกที่มีวัคซีนป้องกันเอดส์

เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. น.พ.ธวัช สุนทราจารย์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวเนื่องในวันเอดส์โลกว่า รายงานของสำนักระบาดวิทยาพบแนวโน้มเยาวชนอายุตั้งแต่ 15-24 ปี ติดเชื้อเอชไอวีเพิ่มขึ้น โดยผู้ป่วยที่เป็นนักเรียน นักศึกษาได้รับรายงานรายแรกเมื่อปี 2530 เป็นเพศชาย อายุ 23 ปี จำนวนผู้ป่วยกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วระหว่างปี 35-39 และผู้ป่วยลดลงระหว่างปี 40-42 โดยปี 43 มีรายงานผู้ป่วยสูงสุด 70 ราย หลังจากนั้นเริ่มมีแนวโน้มลดลงอย่างช้าๆ แต่หลังจากนั้นกลับพบแนวโน้มเยาวชนติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยกลุ่มนักศึกษาระดับอุดมศึกษาสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ รองลงมาคือระดับมัธยมศึกษา ดังนั้น ต้องเร่งรณรงค์ให้กลุ่มเยาวชนตระหนักถึงการป้องกันสอดรับกับคำขวัญวันเอดส์โลกปีนี้คือ "เอดส์หยุดได้...ร่วมใจรักษาสัญญา (Stop AIDS Keep the Promise)"

"พบ 15-24 ติดเอดส์มากสุด"


"กรุงเทพฯ มีจำนวนผู้ป่วยเอดส์ในกลุ่มนักเรียน-นักศึกษา อายุ 15-24 ปี สะสมสูงสุด 92 ราย ส่วนจังหวัดในภูมิภาคที่มีจำนวนผู้ป่วยสะสมสูงสุด 10 ลำดับแรก คือ เชียงราย เชียงใหม่ นครศรีธรรมราช นนทบุรี พะเยา ขอนแก่น ระยอง ลำปาง สงขลา และสมุทรปราการ ตามลำดับ" อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าว

น.พ.ธวัชเผยด้วยว่า เมื่อพิจารณาตามกลุ่มอายุและเพศ พบว่าเพศชายมีแนวโน้มพบผู้ป่วยมากกว่าเพศหญิงในทุกช่วงเวลา ปัจจัยเสี่ยงรับเชื้อทางเพศสัมพันธ์พบมากกว่าการติดยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น และเมื่อพิจารณาจากผลการเฝ้าระวังพฤติกรรมที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อเอชไอวีในจังหวัดต่างๆ ในกลุ่มเยาวชนชาย-หญิง อายุระหว่าง 15-24 ปี ระหว่างปี 47-49 พบว่ามีความรู้เกี่ยวกับการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีในระดับต่ำ การมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกก่อนอายุ 15 ปี และมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่ใช่คู่สมรสหรือคู่ครองในระดับที่ค่อนข้างสูง และมีการใช้ถุงยางอนามัยในระดับต่ำ

"ม.5 เสี่ยงเพิ่มจำนวนเอดส์ พบมีค่านิยมผิดๆ"


"เยาวชนหญิงในหอพักส่วนใหญ่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเอดส์และอนามัยเจริญพันธุ์ในระดับจำกัด นอกจากนี้เยาวชนกลุ่มหนึ่งมีความเห็นว่า การใช้ถุงยางอนามัยไม่เป็นธรรมชาติ บางคนกล่าวว่าไม่สามารถหาถุงยางอนามัยมาใช้ได้ง่าย และรู้สึกกระดากอายที่จะซื้อ หรือไปขอจากสถานีอนามัย โรงพยาบาล ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีมากยิ่งขึ้น" น.พ.ธวัชกล่าว

อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวว่า ผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่เมื่อแยกเป็นเฉพาะกลุ่มพบว่า ในกลุ่มเยาวชนและแรงงานมีผู้ป่วยติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชน จากการสำรวจเยาวชนชั้นมัธยม 1-6 พบว่าช่วงที่มีการติดเชื้อมากคือชั้นมัธยม 5 จะมีอัตราการติดเชื้อรายใหม่เพิ่มกว่าเดิม เนื่องจากค่านิยมผิดๆ เรื่องการสลับคู่นอน การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร การใช้ถุงยางอนามัยที่น้อย โดยเพศชายใช้เพียงร้อยละ 25 เพศหญิงใช้ร้อยละ 15

"ให้ทุกประเทศรณรงค์ป้องกันและแก้ไข"


"เยาวชนผู้ติดเชื้อรายใหม่มักมีพฤติกรรมทางเพศผิดๆ จากความเชื่อที่ว่าคู่นอนของตนยังไม่เคยผ่านการมีเพศสัมพันธ์มามาก ทำให้อัตราการติดเชื้อรายใหม่ในเยาวชนไม่ลดลง จึงจำเป็นต้องทำให้เยาวชนที่จะมีเพศสัมพันธ์ตระหนักถึงการใช้ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันโรคทางเพศสัมพันธ์ ร่วมกับการรณรงค์เพื่อไม่ให้มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร" น.พ.ธวัชกล่าว

ด้านน.พ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เนื่องในวันเอดส์โลก องค์การอนามัยโลกและโครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติได้ประกาศให้ทุกประเทศทั่วโลกร่วมรณรงค์ป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคเอดส์ ภายใต้คำขวัญ "เอดส์หยุดได้...ร่วมใจสัญญา" เพื่อหยุดยั้งและลดผลกระทบจากโรคเอดส์ และให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงบริการรักษาและป้องกันเอดส์อย่างทั่วถึงภายในปี 2553

"สาเหตุหลักมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย"


"โครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติคาดว่าในปี 2549 ทั่วโลกมีผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์กว่า 39 ล้านคน เสียชีวิตเกือบ 3 ล้านคน และมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นวันละ 11,000 คน ในไทยคาดว่ามีผู้ติดเชื้อสะสมมาตั้งแต่ปี 27 จนถึงขณะนี้รวม 1 ล้านกว่าคน เสียชีวิตแล้ว 85,456 คน ยังมีชีวิตอยู่ 306,066 คน สาเหตุหลักของการติดเชื้อกว่าร้อยละ 80 มาจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย" ปลัดสาธารณสุขกล่าว

น.พ.ศุภชัย ฤกษ์งาม ผู้อำนวยการโครงการศึกษาวัคซีนเอดส์ทดลองระยะที่ 3 กล่าวว่า โครงการศึกษาวัคซีนเอดส์ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดลและกรมการแพทย์ทหารบก ศึกษาในกลุ่มประชาชนที่ยังไม่ติดเชื้อเอชไอวี อายุ 18-30 ปี ซึ่งสมัครเข้าร่วมโครงการ 16,402 คน โดยใช้วัคซีนสังเคราะห์ 2 ชนิด คือ แอลแวค (ALVAC) และเอดส์แวค (AIDS VAX) เป็นวัคซีนปูพื้น และกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย

"การทดลองวัคซีน"


โดยการทดลองจะแบ่งอาสาสมัครออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งจะได้รับวัคซีนเอดส์ทดลอง อีกกลุ่มหนึ่งจะได้รับสารเลียนแบบวัคซีน จะได้รับการฉีดวัคซีนทั้งหมดคนละ 6 เข็ม เป็นเวลา 6 เดือน

น.พ.ศุภชัยกล่าวต่อไปว่า อาสาสมัครรายแรกเริ่มฉีดวัคซีนเข็มแรกเมื่อวันที่ 20 ต.ค. 46 ขณะนี้มีอาสาสมัครที่ได้รับวัคซีนครบทุกเข็มเมื่อเดือนก.ค.ที่ผ่านมา กว่า 14,000 คน หลังฉีดทุกคนสบายดี ไม่มีอาการข้างเคียงร้ายแรง ใช้ชีวิตได้ตามปกติ กำลังอยู่ระหว่างการติดตามผลอย่างใกล้ชิดเป็นระยะทุก 6 เดือน อาสาสมัครรุ่นแรกจะครบระยะติดตามผล 3 ปีในเดือนพ.ค.50 และรุ่นสุดท้ายจะครบ 3 ปีในปี 52 จากนั้นจะใช้เวลาวิเคราะห์ข้อมูล ประสิทธิผลของวัคซีนประมาณ 1 ปี และจะสรุปผลการศึกษาได้ภายในปี 52 หากวัคซีนที่ทดลองประสบผลสำเร็จไทยจะเป็นประเทศแรกที่จะมีวัคซีนป้องกันโรคเอดส์

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์