บุกสังหารอุกอาจ! นักอนุรักษ์ อุ้มหายไร้ร่องรอย
"หายตัวไป พบเพียงกองเลือดปนมันสมองกระจายเกลื่อน"
เมื่อเวลา 10.20 น. วันที่ 1 ธ.ค. พ.ต.ต.สุพจน์ ทองอ่อน สารวัตรเวร สภ.กิ่ง อ.บ้านคา จ.ราชบุรี รับแจ้งจาก น.ส.สมพิศ จินง่วย อายุ 28 ปี บ้าน เลขที่ 73 หมู่ 4 ต.บ้านบึง กิ่ง อ.บ้านคา จ.ราชบุรี ว่านายธเรศ สดสี อายุ 53 ปี นายจ้างได้หายตัวไปจากบ้าน เลขที่ 77/2 หมู่ 2 ต.บ้านบึง เกรงว่าจะเกิดเหตุร้ายขอให้ ไปตรวจสอบด้วย จึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบ จากนั้น รุดไปที่เกิดเหตุพร้อมด้วย พล.ต.ต.ชัยชาญ กิติจันทร์ ผบก. ภ.จ.ราชบุรี พ.ต.ท. มนตรี ด้วงปรึกษา รอง ผกก.หน.สภ.กิ่ง อ.บ้านคา และกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนหนึ่ง
ที่เกิดเหตุเป็นบ้าน 2 ชั้น ปลูกอยู่บริเวณเชิงเขา ลึกจากถนนลูกรังทางเข้าหมู่บ้าน ประมาณ 1 กม. ด้าน หลังเป็นสวนมะม่วงปลูกรวมกับผลไม้อื่นๆ เนื้อที่กว่า 100 ไร่ ห่างไกลจากบ้านผู้คน ตรงบริเวณสนามหญ้าหน้า บ้านพบกองเลือดปนมันสมองกระจายเกลื่อน ปลอกกระสุนปืนขนาด 11 มม. 3 ปลอก หัวกระสุนปืนชนิดเดียวกัน 1 หัว จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
"ตร.เชื่อยิงตายแล้วอุ้มศพไปทำลาย"
นอกจากนี้ ยังพบรอยยางล้อรถยนต์วิ่งเข้าออกที่เกิดเหตุ ส่วนภายในบ้านไม่พบร่องรอยของการรื้อค้นแต่อย่างใด ข้าวของเครื่องใช้ยังอยู่ครบ แสดงให้เห็นว่าคนร้ายประสงค์ต่อชีวิตมากกว่าทรัพย์สิน และจากหลักฐานรวมทั้งพยานแวดล้อมในที่เกิดเหตุ ตำรวจเชื่อว่าคนร้ายใช้รถยนต์เป็นพาหนะ หลังก่อเหตุบุกยิงนายธเรศเสียชีวิตแล้ว ช่วยกันอุ้มศพใส่รถยนต์นำไปทิ้ง หรือเผาทำลายเพื่ออำพรางคดี
สอบปากคำ น.ส.สมพิศให้การว่า บ้านหลังดังกล่าว นายธเรศพักอยู่กับนางปองจิต สิริรัตน์ อายุ 57 ปี ภรรยา ขณะเกิดเหตุนางปองจิตเดินทางไปทำธุระใน กทม.ส่วนตนคอยดูแลงานบ้าน ทำงานไปเช้าเย็นกลับ ก่อนเกิดเหตุ เมื่อช่วงเช้าวันเดียวกัน มาทำงานบ้านให้นายธเรศตาม ปกติ พบว่าไฟสปอตไลต์หน้าบ้านเปิดอยู่ จึงปิดสวิตช์ไฟและเข้าไปตรวจสอบภายในบ้าน
"ตามหาไม่พบ พบเพียงกองเลือดเลยแจ้ง ตร."
ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่ ออกตามหานายธเรศแต่ไม่พบ สอบถามคนงานชายอีก 3 คน ซึ่งเป็นชาวบ้านละแวกใกล้เคียงที่นายธเรศว่าจ้างให้มาดูแลสวนมะม่วงไม่มีใครทราบ ระหว่างนั้นสังเกตเห็นกอง เลือดกระจัดกระจายบริเวณสนามหญ้าหน้าบ้าน และมีปลอก กระสุนตกอยู่เชื่อว่าน่าจะเกิดเหตุร้ายกับนายธเรศ จึงโทรศัพท์แจ้งให้นางปองจิตทราบรีบเดินทางกลับบ้าน และแจ้ง ตำรวจไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ
ขณะเดียวกันตำรวจตรวจสอบประวัตินายธเรศทราบว่า เป็นคนตรงไปตรงมาและยังเป็นแกนนำคนสำคัญในพื้นที่อนุรักษ์ธรรมชาติสิ่งแวดล้อม เป็นที่รักใคร่ของเพื่อนบ้าน ก่อนหน้านี้นายธเรศเคยเข้าไปขัดขวางนักการ เมืองท้องถิ่นผู้มีอิทธิพลคนหนึ่ง ที่บุกรุกทำลายพื้นที่ป่า สร้างความไม่พอใจให้กับอีกฝ่าย ถึงขนาดข่มขู่จะเอาชีวิต และยังลอบวางยาพิษสุนัขของนายธเรศตายไป 3 ตัว
"เชื่อชนวนเหตุ ขัดแย้งผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น"
แต่ นายธเรศไม่เกรงกลัวคำขู่ กลับหอบหลักฐานเข้าร้องเรียน รมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้ง กระทรวงมหาดไทย ให้ดำเนินคดีกับนายทุนคนดังกล่าว ประเด็นดังกล่าวตำรวจเชื่อว่าน่าจะเป็นชนวนเหตุนำไปสู่จุดจบ โดยคนร้ายฉวยโอกาสที่นายธเรศอยู่บ้านคนเดียว บุกยิงเสียชีวิตแล้วอุ้มศพหายไป ซึ่งตำรวจจะได้เร่งคลี่คลาย เพื่อหาตัวคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป
อย่างไรก็ตาม ภายหลังเกิดเหตุ พล.ต.ต.ชัยชาญ กิติจันทร์ ผบก.ภ.จ.ราชบุรี ได้สั่งระดมกำลังตำรวจพร้อมสุนัขมาช่วยค้นหาศพนายธเรศในรัศมี 1 กม. แต่ ไม่พบ จึงได้ประสานชุดสืบสวนตำรวจภาค 7 ร่วมกับตำรวจพื้นที่เข้าคลี่คลายคดีอย่างเร่งด่วนแล้ว เนื่องจากเป็นคดีอุกอาจสะเทือนขวัญ และผู้ตายเป็นแกนนำนักอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม