"ผมยอมรับว่าสิ่งที่ผมทำลงไปไม่ถูกต้อง ผมขอโทษ อยากให้พี่เขาอภัยให้ผมด้วย" นี่คือคำรับสารภาพของ "ณัฐ ฉายานนท์" นักศึกษา ปวช.ปี 3 โรงเรียนพณิชยการแห่งหนึ่งย่านพิบูลสงคราม จ.นนทบุรี ที่ก่อเหตุฆ่าหั่นศพ "ฐิติรัตน์ สมหมาย" ผู้จัดการบริษัทผู้ผลิตยาแห่งหนึ่ง วัย 37 ปี ที่วันนี้รู้สึกเสียใจในสิ่งที่ทำลงไปจากอารมณ์ชั่ววูบ
19 กันยายน 2552 หลังจากณัฐได้ติดต่อพูดคุยกับฐิติรัตน์ผ่านโปรแกรมแคมฟรอกได้ระยะหนึ่งราว 3-4 เดือน นานพอจะเรียกได้ว่าสนิทสนมกัน ฐิติรัตน์ชวนณัฐออกมากินข้าวข้างนอก กระทั่งนำมาสู่เหตุการณ์ร้ายๆ ที่ไม่อาจหวนกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ เมื่อฐิติรัตน์เสียชีวิตและณัฐต้องคดีฆ่าอำพรางศพ
"โดยปกติแล้วผมเป็นคนชอบศึกษาเรื่องคอมพิวเตอร์ และชอบเล่นอินเทอร์เน็ตโปรแกรมแคมฟรอก พูดคุยกับพี่เขานานพอสมควร ถึงแม้จะรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าพี่เขามีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ พี่เขาชอบชวนออกไปกินข้าวข้างนอก แต่ผมก็ปฏิเสธทุกครั้ง บังเอิญว่าก่อนเกิดเรื่องผมมีปัญหากับคนใกล้ชิดเล็กน้อย เลยรู้สึกเครียด พอเข้าไปเล่นแคมฟรอกเจอพี่เขาชวนไปเจอกันที่ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ บางแค"
แทนที่เหตุการณ์จะจบลงแค่ที่ห้างสรรพสินค้า แต่กาลกลับกลายเป็นตรงข้าม โดยณัฐบอกว่าฐิติรัตน์ชักชวนเขาไปโรงแรม ทว่าเขากลับเลือกที่จะชวนเพื่อนรุ่นพี่ไปพูดคุยที่ห้องพักแทน ห้องพักที่ว่าเป็นห้องที่ชายหนุ่มเช่าอยู่กับแฟนสาวที่เพิ่งเลิกรากันไปได้ไม่นาน และยังไม่ได้คืนห้องเช่า แล้วเรื่องราวร้ายๆ ก็บังเกิดขึ้นที่นี่
"พี่เขาขอร่วมเพศทางทวารหนัก ผมไม่ยอม และรู้สึกโกรธมาก เลยเกิดการชกต่อยกันขึ้น ผมรูปร่างใหญ่โตกว่าพี่เขามาก พอพี่เขาถูกชกจนล้มลงผมก็ตรงเข้าไปคร่อมพี่เขา แล้วค้ำคอเขาอยู่นาน พี่เขาเองก็พยายามต่อสู้ แต่สู้แรงผมไม่ได้ สักพักก็นิ่งไป ผมตกใจมาก ดูเหมือนว่าพี่เขาจะเสียชีวิตแล้ว ผมไม่รู้จะทำยังไงเลยออกจากห้อง เครียดมากจนทำอะไรไม่ถูก เลยกลับไปนอนที่บ้านแม่ 1 คืน นอนคิดว่าจะทำยังไงกับศพ ตัดสินใจอยู่นานมาก กระทั่งไปที่ห้างแล้วซื้อมีดหั่นเนื้อมา 2 เล่มใหญ่ เครื่องเจียเหล็ก เชือกไนลอน ถุงขยะดำ และถังน้ำใบใหญ่ 2 ใบ เอามาไว้ที่ห้องพัก"
ณัฐที่อยู่ในอาการตกใจทำอะไรไม่ถูกเริ่มทำตามความคิดวูบแรก คือ การกำจัดศพ ด้วยการยัดลงถังน้ำ แต่ยัดเท่าไรก็ยัดไม่ลง เขาหันไปหาสิ่งของใกล้ตัว เริ่มจากผ้าปูที่นอนนำมาคลุมศพ แล้วลงมือใช้มีดหั่นชำแหละ เริ่มจากแขนและขาเสร็จแล้วจึงยัดลงถัง กระทั่งเหลือลำตัวกับศีรษะจึงพยายามยัดใส่ถังอีกใบ แต่ทำเท่าไรก็ไม่สำเร็จ จึงตัดสินใจครั้งสุดท้ายหั่นศีรษะออกจากลำตัว แล้วแยกใส่ถัง จากนั้นก็ยกไปเก็บอำพรางไว้ที่บ้านร้าง ซึ่งเป็นบ้านเก่าของแม่เขาเอง แล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ว่าเกิดอะไรขึ้น
นอกจากนี้ ชายหนุ่มยังนำทรัพย์สินมีค่าของคนที่เขาฆ่าและชำแหละไปใช้ โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือภายในเครื่องมีหมายเลขรหัสบัตรเครดิตบันทึกเอาไว้ด้วย ณัฐจึงนำบัตรเครดิตไปกดเงินออกมาได้เกือบ 6 หมื่นบาท แบ่งส่วนหนึ่ง 3.5 หมื่นบาทเข้าบัญชีตัวเอง ส่วนที่เหลือนำไปใช้จ่ายหนี้สินที่ติดค้างไว้ สุดท้ายก็ถูกตำรวจสืบสวนจับกุมตัวในเวลาต่อมา
ณัฐเกิดมาในครอบครัวข้าราชการครู พ่อกับแม่เป็นครูด้วยกันทั้งคู่ เขาเป็นพี่ชายคนโตตอนเด็กเรียนหนังสือไม่เก่ง แต่ชอบด้านคอมพิวเตอร์ ทางบ้านจึงส่งเรียนสายพาณิชย์ ที่นั่นเขารู้สึกว่าทำได้ดีทั้งการเรียนและความประพฤติ ตั้งแต่ปี 1 ถึงปี 3 ผลการเรียนจัดอยู่ในขั้นดี ได้เกรดเฉลี่ยไม่เคยต่ำกว่า 3.0 แถมยังได้รับรางวัลแต่งกายดีเด่นของโรงเรียน เคยเป็นตัวแทนห้องเข้าแข่งขันหลายรายการจนได้รับรางวัลมาหลายรายการ
ต่อมาพ่อเสียชีวิตลงเมื่อปี 2548 ภาระค่าใช้จ่ายภายในครอบครัวตกเป็นของแม่คนเดียว ได้เงินไปโรงเรียนวันละ 100 บาท และ 60 บาทในวันหยุดที่ไม่ต้องไปโรงเรียน เขาบอกว่าหลังๆ มานี้เริ่มมีปัญหาเรื่องความเครียด มีมากจนแม่เป็นกังวล ต้องพาไปพบแพทย์และกินยารักษาเยียวยาติดต่อกันมานานพอสมควร แต่ก็ยังมีอาการผวาบ้างเป็นบางครั้ง
ในความรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไปของณัฐ เด็กหนุ่มวัย 20 บางทีอาจไม่เพียงพอเปลี่ยนแปลงอะไรๆ ให้ดีขึ้นได้