สธ.สั่งจับตากาฬโรคจีนชี้เป็นโรคร้ายแรง

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 4 ส.ค. ที่กรมควบคุมโรค นพ.ม.ล.สมชาย จักรพันธุ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงกรณีทางการจีนสั่งปิด เมืองจื่อเคอทันและพื้นที่โดยรอบ

ในมณฑลชิงไห่ ทางตะวันตกของจีน เนื่องจากพบผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 2 คน จากการป่วยเป็นโรคกาฬโรคปอดว่า  กาฬโรค จัดอยู่ในโรคติดต่อร้ายแรง เช่นเดียวกับโรคอหิวาตกโรค โรคไข้ทรพิษ โรคไข้เหลือง และซาร์ส  มีอัตราตายสูงถึง 60 % หากองค์การอนามัยโรคประกาศให้โรคนี้เป็นโรคติดต่อร้ายแรงระหว่างประเทศ จะเสนอให้นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข(สธ.)ลงนามในประกาศสธ. ตามพ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2523 ซึ่งจะส่งผลให้สามารถกักกันตัวบุคคลที่เดินทางมาจากเมืองที่มีการแพร่ระบาดของโรคตามที่องค์การอนามัยโลก ประกาศได้ ซึ่งขณะนี้องค์การฯกำลังส่งผู้เชี่ยวชาญเข้าไปในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคดังกล่าวเพื่อประเมินสถานการณ์

นพ.มล.สมชาย กล่าวว่า มาตรการในการสกัดกั้นโรคนี้ไม่ให้เข้าสู่ประเทศไทย

ตนได้สั่งการให้ด่านควบคุมโรคทั่วประเทศ 64 ด่านทั้งด่านทางบก ทางเรือและด่านในสนามบินสุวรรณภูมิดำเนินการไล่จับหนูบริเวณใกล้เคียงด่าน เพื่อนำมาตรวจหาดัชนีหมัด โดยหากพบว่าค่าเฉลี่ยหนู 1 ตัวพบหมัดเกิน 1 ตัว ถือว่ามีความเสี่ยงสูง แต่ดัชนีหมัดที่พบในด่านต่างๆเมื่อปี 2551 มีเพียง 0.3-0.5 ตัวเท่านั้น ถือว่าอยู่ในระดับที่ด่านควบคุมโรคสามารถดูแลควบคุมได้



นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ผู้อำนวยการสำนักโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค สธ. กล่าวว่า กาฬโรค เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่มีลักษณะเป็นแท่ง

ชื่อเยอซิเนีย เพสทิส (Yersinia pestis) การติดต่อเกิดได้จากการหายใจเอาละอองเสมหะของผู้ป่วยที่ไอหรือจามหรือจากการที่หมัดไปกัดสัตว์โดยเฉพาะสัตว์ฟันแทะ เช่น หนู กระรอก กระแต กระต่าย แมวและสุนัขที่มีเชื้อแล้วมากัดคน โดยหมัดมีขนาดไม่กี่มิลลิเมตรแต่สามารถกระโดดได้ไกลถึง 1 เมตร หรือ 200 เท่าของขนาดตัว

“หลังจากที่คนได้รับเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ จะมีระยะฟักตัวของโรคประมาณ 1-7 วัน จากนั้นจะเริ่มแสดงอาการด้วยการมีไข้ ตามด้วยต่อมน้ำเหลืองโตและแตก เชื้อกระจายเข้าสู่กระแสเลือด โดยเฉพาะจะไปที่ปอด ทำให้เกิดปอดบวมและเสียชีวิตอย่างรวดเร็วภายใน 48 ชั่วโมง การรักษาสามารถใช้ยาปฏิชีวนะที่มีอยู่แล้วในโรงพยาบาลต่างๆรักษาได้ หากเทียบกับโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009 กาฬโรคจะติดต่อยากกว่าแต่มีความรุนแรงของโรคสูงกว่ามาก อัตราป่วยตายสูงถึง 30-60 %”นพ.โอภาสกล่าว

นพ.ภาสกร อัศวเสวี ผู้อำนวยการสำนักระบาดวิทยา กล่าวว่า ในประเทศไทยพบผู้ป่วยโรคกาฬโรคครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2495 ที่จ.นครสวรรค์

โดยพบผู้ป่วยประมาณ 8 คน แต่เป็นกาฬโรคต่อมน้ำเหลืองไม่ใช่กาฬโรคปอดที่พบในประเทศจีน ส่วนในประเทศใกล้เคียงมีรายงานพบผู้ป่วยที่ประเทศจีนและชายแดนประเทศอินเดียและบังคลาเทศเมื่อประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา จากนั้นไม่พบรายงานผู้ป่วยจากโรคนี้อีก การพบผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ในประเทศจีนอีกครั้งจึงถือว่ากาฬโรคเป็นโรคอุบัติซ้ำ

ผอ.สำนักระบาดวิทยา กล่าวอีกว่า การที่ทางการจีนประกาศให้พื้นที่ที่มีการระบาดของโรคกาฬโรคปอดเป็นเขตโรคติดต่อร้ายแรง ทำให้มีการกักคนไม่ให้เข้าและออกพื้นที่ดังกล่าวอยู่แล้ว

ประเทศไทยจึงไม่จำเป็นต้องประกาศเตือนไม่ให้มีการเดินทางไปยังพื้นที่มณฑลชิงไห่ เช่นเดียวกับ ไม่จำเป็นต้องกักบริเวณผู้ที่เดินทางมาจากเมืองดังกล่าวในรอบ 7 วันที่ผ่านมาซึ่งถือเป็นระยะการฟักตัวของโรค เนื่องจากโรคนี้จะติดต่อจากคนสู่คนในระยะที่เชื้อลงปอดจนทำให้เกิดการไอ โดยปกติผู้ป่วยที่เชื้อลงปอดจะมีอาการรุนแรง เกิดภาวะปอดบวมต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ไม่สามารถมีเรี่ยวแรงออกมาเดินตามสถานที่สาธารณสุขได้เหมือนผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่สามารถแพร่เชื้อได้แม้อาการไม่รุนแรง

ด้านนพ.สมชัย นิจพานิช รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า   วิธีการสังเกตหากเริ่มมีการระบาดของโรคนี้ในพื้นที่ คือ มีหนูตายจำนวนมาก

การป้องกันที่ดีที่สุด ประชาชนต้องดูแลสุขาภิบาลในบ้านให้สะอาดเรียบร้อย ไม่ให้รกรุงรัง จนกลายเป็นที่อยู่อาศัยของหนูที่เป็นพาหะที่สำคัญของโรคนี้และโรคอื่นๆ
นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบกรมควบคุมโรคจับตาสถานการณ์การระบาดของกาฬโรคในจีน และประสานข้อมูลกับองค์การอนามัยโลกอย่างใกล้ชิด ชี้ประเทศไทยไม่พบโรคนี้มาเป็นเวลา 57 ปีแล้ว แต่ยังไม่ละเลยการเฝ้าระวังโรคหวนกลับ


เครดิต :
เครดิต : เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์ข่าวสด


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์