4 เด็กแว้นซิ่งปัดสังหาร ด.ต.

4 เด็กแว้นแก๊งซิ่ง จยย.ให้ปากคำขัดกัน ยอมรับขน จยย.ใส่รถตู้ไปแข่งจริง แต่ปฏิเสธไม่ได้รุมสังหารนายดาบจราจร

ระบุ ด.ต.ชะตาขาดมีอาการเดินเซก่อนจะใช้มือกุมหัวใจแล้วล้มฟุบลงบนถนน ขณะที่อีกคนอ้างว่า คนตายถูกตีแล้วถูกฉกเอาปืนไป โดยเห็นชาย 3 คน ในรถเก๋งเซฟิโร่สีดำที่จอดหน้ารถตู้ลงมาเดินถือไม้เบสบอลวนรอบที่เกิดเหตุ พร้อมกับใช้ปืนอัดแก๊สไล่ยิงคนดูจยย.ซิ่งด้วย ตร.มึนตึ้บ ผลชันสูตรศพ ชี้ ตายเพราะสมองขาดอากาศ จากการถูกรัดคอ วอนคนที่เห็นเหตุการณ์เข้าให้ข้อมูลเพื่อจะได้ขอศาลออกหมายจับคนร้าย

จากกรณีแก๊งเด็กแว้น วิ่งรุมสังหารใช้เชือกรัดคอ ด.ต.สัมฤทธิ์ แต้มทอง ผบ.หมู่งานจราจร สน.วิภาวดี เสียชีวิต

ขณะกำลังเข้าจับกุมแก๊ง จยย.ซิ่งที่นำรถ จยย.มาซิ่งแข่งกันบนถนนวิภาวดี-รังสิต ขาเข้า ใกล้โรงเรียนหอวัง แขวงและเขตจตุจักร เมื่อเวลา 02.30 น. ของวันที่ 13 ส.ค. ที่ผ่านมา โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถยึดรถตู้โตโยต้า สีบรอนซ์ ทะเบียน อต 9739 กรุงเทพมหานคร ที่ขนอุปกรณ์แข่ง จยย. จอดทิ้งในที่เกิดเหตุมาตรวจสอบ พร้อมกับนำกลุ่มเด็กแว้น 4-5 คนมาสอบสวนก่อนจะปล่อยตัวเนื่องจากไม่มีพยานหลักฐานเอาผิดได้ ขณะที่ ด.ต.สัมฤทธิ์ จราจรที่เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ศพตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดเสมียนนารี ได้รับการปูนบำเหน็จเงินเดือน 5 ขั้น เลื่อนยศ 4 ชั้นยศ เป็น พ.ต.ต. ตามที่เสนอข่าวไปให้ทราบนั้น
ต่อมา เมื่อตอนสายวันที่ 14 ส.ค. พ.ต.อ.อาคม จันทนลาช ผกก.สน.พหลโยธิน กล่าวถึงความคืบหน้าคดีแก๊งจยย.ซิ่งรุมสังหาร ด.ต.สัมฤทธิ์ แต้มทอง ว่า เมื่อวันที่ 13 ส.ค.ที่ผ่านมา

เด็กแว้นผู้ต้องสงสัย 5 คน ได้เข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ ทั้งหมดอ้างว่าขับรถตู้ขนรถจยย.มาแข่งจริง แต่ไม่ได้ทำร้าย ด.ต.สัมฤทธิ์ ขณะเกิดเหตุทั้ง 5 คนกำลังขนรถจยย.ลงจากรถตู้แล้ว ด.ต.สัมฤทธิ์ ขี่รถจยย.เข้ามาพอดี จึงแยกย้ายกันหลบหนี โดย 3 คนแยกย้ายกันวิ่งหลบหนีไป ส่วนอีก 2 คนเข้าไปหลบในรถตู้ ซึ่งทั้งสองคนเห็น ด.ต.สัมฤทธิ์ เดินวนรอบรถตู้ก่อนจะล้มฟุบลงไปจึงขับรถตู้หลบหนีไป แต่เรายังไม่ปักใจเชื่อในคำให้การของผู้ต้องสงสัยทั้งหมด เนื่องจากขัดแย้งกับผลชันสูตรศพที่ระบุว่า ด.ต.สัมฤทธิ์ เสียชีวิตจากสมองขาดอากาศ โดยสันนิษฐานว่าถูกรัดคอ ร่วมกับกล้ามเนื้อหัวใจตายเนื่องจากขาดเลือดเฉียบพลัน

ส่วนโรคหัวใจที่เป็นโรคประจำตัวของผู้ตายน่าจะเป็นเพียงปัจจัยเร่งที่ทำให้เสียชีวิตเร็วขึ้นเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจขอความร่วมมือจากประชาชนที่เห็นเหตุการณ์ช่วยเข้ามาให้เบาะแสกับตำรวจเพื่อจะได้ติดตามหาตัวคนร้ายได้ ขณะนี้ตำรวจสอบสวนพยานที่เห็นเหตุการณ์ไปแล้วหลายปาก และกำลังรวบรวมพยานหลักฐานให้ได้มากที่สุดเพื่อขอให้ศาลออกหมายจับผู้ต้องหา ในตอนบ่ายวันเดียวกัน นายเข้ (นามสมมุติ) อายุ 18 ปี นายตี๋ (นามสมมุติ) อายุ 19 ปี นายเพชร (นามสมมุติ) อายุ 18 ปี และนายอรรพล หรือเป้ อ่อนสมจิตร อายุ 20 ปี ซึ่งอยู่ในรถตู้ยี่ห้อโตโยต้า สีฟ้า หมายเลขทะเบียน อต 9739 กรุงเทพมหานคร ในคืนเกิดเหตุ ได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.ต.สมนึก สันติภาตะนันท์ พงส.(สบ 2) สน.พหลโยธิน เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติมในกรณีดังกล่าว

นายเข้ เปิดเผยว่า ในวันเกิดเหตุ พวกตนทั้ง 4 คน พร้อม นายโสฬส แก้วเอียด อายุ 25 ปี และนายตั๋ง (นามสมมุติ) อายุ 18 ปี ได้นำรถ จยย. 2 คัน ใส่รถตู้คันดังกล่าวมาร่วมแข่งกันที่บริเวณจุดเกิดเหตุ

เมื่อถึงที่เกิดเหตุตนลงมาด้านหลังรถเปิดประตูท้ายเพื่อนำรถ จยย.ลงจากรถตู้ เห็น ด.ต.สัมฤทธิ์ ขี่รถ จยย.เข้ามาจับกุมพอดี ตนกลัวจึงรีบทิ้งรถวิ่งหนีไปพร้อมเพื่อนทันที จากนั้นสักพักตนวิ่งกลับมาที่รถตู้เพื่อจะเอารถ จยย.ที่ทิ้งไว้ เห็น ด.ต.สัมฤทธิ์ ล้มฟุบไปกับพื้นแล้ว โดยจังหวะที่ตนวิ่งหนีไม่เห็นว่ามีใครทำร้าย ด.ต.สัมฤทธิ์ แต่มีคนที่นั่งอยู่ในรถด้านหลัง รถตู้ตะโกนว่า มีคนเอาไม้ตีตำรวจ แล้วเอาปืนตำรวจไปด้วย ขณะที่มีชาย 3 คน อยู่ในรถเก๋งนิสสัน เซฟิโร่ สีดำ ที่จอดอยู่ใกล้กันเดินถือไม้เบสบอลวนเวียนอยู่ในที่เกิดเหตุ และ 1 ใน 3 คน ใช้ปืนอัดแก๊สไล่ยิงใส่กลุ่มคนที่อยู่บริเวณที่เกิดเหตุด้วย ซึ่งตนไม่รู้สึกคุ้นหน้าหรือเคยเห็นหน้าชายทั้ง 3 คนมาก่อนแต่อย่างใด

ด้าน นายตี๋ กล่าวว่า ขณะที่ ด.ต. สัมฤทธิ์ เข้ามาจับกุมพวกตน เดินอ้อมมาฝั่งประตูผู้โดยสารข้างซ้ายเพื่อจะสั่งให้พวกตนลงจากรถ ก่อนที่จะเดินไปจับกุมรถเก๋งคันที่จอดอยู่ข้างหน้ารถตู้

แต่ระหว่างนั้น ด.ต.สัมฤทธิ์ เกิด อาการเซ แล้วใช้มือจับหน้าอก ก่อนที่จะล้มฟุบลงไป พวกตนจึงแยกย้ายกันหลบหนี ภายหลังเสร็จจากการสอบสวนปากคำเจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำทั้งหมดไปชี้ที่เกิดเหตุเพื่อนำไปประกอบสำนวนการสอบสวน แต่ทนายความเห็นว่ามีผู้สื่อข่าวอยู่เป็นจำนวนมากจึงไม่ยอมให้ตำรวจนำพยานทั้งหมดไป และนำทั้งหมดเดินทางกลับซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจอนุญาตให้กลับได้ และจะนัดมาสอบปากคำอีกครั้งภายหลัง

ต่อมา เมื่อเวลา 19.00 น. วันเดียวกัน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ได้เดินทางไปเป็นประธานสวดพระอภิธรรมศพ ด.ต. สัมฤทธิ์ ที่ศาลา 11 วัดเสมียนนารี

พร้อมกับเปิดเผยว่า เบื้องต้นได้มอบเงินสวัสดิการตำรวจช่วยเหลือครอบครัว ด.ต.สัมฤทธิ์ เป็นเงิน 550,000 บาท พร้อมกับเลื่อนยศเป็น พ.ต.ต. และเลื่อนขั้นเงินเดือน 5 ขั้น ส่วนลูกชายทั้งสองของผู้ตายหากจะเข้ารับราชการตำรวจก็สามารถ เข้าได้ ทั้งนี้ได้เร่งรัดให้ ผบช.น.ติดตามจับคนที่ ทำผิดจริง ๆ มาให้ได้ ซึ่งต่อไปจะเพิ่มมาตรการกวดขัน จยย.ซิ่งมากขึ้นให้สายตรวจเพิ่มความเข้มในการตรวจตรา รวมทั้งจะเปิดสายตรงให้ประชาชนแจ้งหากพบเห็นการรวมกลุ่มของ จยย. ซิ่ง หากพื้นที่ไหนปล่อยปละละเลยให้มีการแข่ง จยย.ซิ่ง ผบก.ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ นอกจากนั้นจะเสนอบทลงโทษพวกแข่ง จยย. กวนเมืองให้หนักขึ้นกว่าเดิม เพราะบทลงโทษที่ใช้อยู่ยังเบาเกินไป

ส่วน นางอรอุษา แต้มทอง ภรรยาของ ด.ต.สัมฤทธิ์ เปิดเผยว่า ตลอดที่อยู่กินกันมาเกือบ 30 ปี สามีไม่เคยมีโรคประจำตัว

เพราะเป็นคนชอบออกกำลังกาย ตรวจร่างกายทุกปี จึงเป็นไปไม่ได้ที่สามีจะเป็นลมหัวใจวายตาย สำหรับ ลูกทั้งสองคนตนอยากให้รับราชการตำรวจแบบพ่อเขา ส่วนศพของสามีจะสวดเป็นเวลา 5 คืน จากนั้นในวันที่ 18 ส.ค. จึงทำพิธีพระราชทานเพลิงศพ.

เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์