แม่แจ้งจับพระ ใช้ไฮไฟว์ ลวงม.3เข้ากุฏิ

กรณีเครือข่ายองค์กรภาคประชาชนพิทักษ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ออกมาแฉว่า

ขณะนี้มีพระสงฆ์บางกลุ่มนิยมเข้าไปใช้เว็บไซต์ www.hi5.com (ไฮไฟว์) และสร้างเว็บไซต์เป็นของตนเอง  พระบางรูปก็ใช้เป็นช่องทางในการเผยแผ่ธรรมะสู่วัยรุ่น แต่บางรูปกลับใช้เป็นช่องทางในการสนทนากับวัยรุ่น โดยใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสม เช่น ฝันดี, คิดถึงนะ เป็นต้นนั้น ขณะที่สังคมกำลังหวาดวิตกกับปัญหาพระสงฆ์เข้าไปเล่นเว็บไซต์ไฮไฟว์ แล้วจะเกิดเรื่องไม่เหมาะสมขึ้นนั้น ในที่สุดความหวั่นวิตกดังกล่าวก็เป็นจริงขึ้นมาจนได้ โดยเรื่องนี้ได้รับการเปิดเผยจาก พ.ต.อ.ยรรยง เวชโอสถ ผกก.ศสส.ภ.4 ว่า เมื่อช่วงเช้าวันที่ 4 มี.ค. ได้มีนางต่าย (นามสมมติ) อายุ 32 ปี ชาว อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ เดินทางมาร้องเรียนกับตำรวจว่า น.ส.นุ้ย (นามสมมติ) อายุ 15 ปี ลูกสาว นักเรียนชั้น ม.3 ถูกพระลูกวัดวัดท่าเลียบ ต.บึงเนียม อ.เมืองขอนแก่น ใช้โปรแกรมไฮไฟว์ล่อลวงให้มาพบที่กุฏิวัด และอาจมีการกระทำชำเราลูกสาวด้วย
 

นางต่ายเล่าให้ตำรวจฟังว่า ลูกสาวหายตัวออกจากบ้านตั้งแต่วันที่ 2 มี.ค.ที่ผ่านมา

โดยไม่ได้บอกกล่าวกับใคร เมื่อทราบเรื่องจึงออกตามหา แต่ก็ไม่พบ สอบถามเพื่อนลูกสาวในอำเภอเดียวกันก็ไม่มีใครรู้เรื่องเช่นกัน ทราบแต่เพียงหมู่นี้ น.ส.นุ้ยชอบเล่นอินเตอร์เน็ต โดยเฉพาะโปรแกรมไฮไฟว์ จะใช้แชตสนทนากับเพื่อนต่างเพศเป็นประจำ และหลายวันก่อนหน้านั้น มีพัสดุส่งมาถึง น.ส.นุ้ย ระบุชื่อคนส่งว่า นายเกียรติศักดิ์ สุพร ที่อยู่วัดท่าเลียบ ต.บึงเนียม อ.เมือง จ.ขอนแก่น ตนจึงออกเดินทางจาก อ.ภูเขียว เมื่อวันที่ 3 มี.ค. มาตามหาลูกสาวที่วัดดังกล่าว และได้พบพระรูปหนึ่งภายในวัด ทราบชื่อภายหลังว่าพระสุปันโญ เมื่อถามพระรูปดังกล่าวว่า วัดนี้มีคนชื่อเกียรติศักดิ์หรือไม่ พระสุปันโญก็ตอบว่า ไม่มี แต่ตนสังเกตเห็นพิรุธ จึงไปขอความช่วยเหลือจากผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน พร้อมกับเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง
 

หลังทราบเรื่อง ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านบอกว่า เมื่อวันก่อนมีเด็กผู้หญิงมาถามหาคนชื่อเกียรติศักดิ์ที่วัดท่าเลียบเช่นกัน

คาดว่าน่าจะเป็นเด็กคนเดียวกัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านจึงพาตนไปตรวจดูภายในกุฏิวัดที่พระสุปันโญพำนักอยู่ ขณะนั้นเวลาประมาณ 19.30 น. ปรากฏว่าได้ยินเสียงสนทนาของหนุ่มสาวพูดคุยกันในห้อง ตนจำได้ว่าเป็นเสียงของลูกสาว จึงเคาะประตูเรียก แต่คนในห้องไม่ยอมเปิดประตู ต้องช่วยกันพังประตูเข้าไป พบพระสุปันโญกับ น.ส.นุ้ย อยู่กันสองต่อสองในห้อง ทันทีที่เห็นหน้าตน ทั้งสองคนก็มีสีหน้าตื่นตกใจ ตนเกรงว่าพระสุปันโญจะหลอกลวงลูกสาวมากระทำชำเราในกุฏิ จึงพาลูกสาวเข้าร้องเรียนดังกล่าว
 

ด้านพระสุปันโญให้การกับตำรวจว่า นัดแนะ น.ส.นุ้ยมาหาที่วัดจริง แต่ไม่ได้ข่มขืนหรือกระทำความผิดใดๆ

เพียงแต่นัดให้มาเอาพระเครื่องเท่านั้น แต่ น.ส.นุ้ย มาถึงช่วงใกล้มืดค่ำแล้ว จึงบอกให้พักอยู่ด้วยกันที่กุฏิ และค่อยเดินทางกลับในวันรุ่งขึ้น ขณะที่ น.ส.นุ้ยกล่าวว่า เล่นแชตผ่านโปรแกรมไฮไฟว์ที่บ้านลูกพี่ลูกน้องใน อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ เป็นประจำ โดยใช้ชื่อว่า “กิ๊ก” ส่วนพระสุปันโญใช้ชื่อ “บอย” ติดต่อกันมานานกว่า 2 เดือนแล้ว นอกจากนี้ ยังโทรศัพท์พูดคุยกันเป็นประจำ กระทั่งพระสุปันโญนัดให้มาเอาของที่วัด จึงเดินทางมาเอาของที่ว่าเท่านั้น ยืนยันว่าไม่ได้มีอะไรกันแต่อย่างใด
 

ด้าน พ.ต.ท.กิตติศักดิ์ เจริญศรี รอง ผกก.กลุ่มงานสวัสดิภาพเด็กและเยาวชน ศสส.ภ.4 กล่าวว่า

ภายหลังจากที่นางต่ายพา น.ส.นุ้ย มาร้องทุกข์ที่ ศสส.ภ.4 นั้น ตนได้เชิญนักสังคมสงเคราะห์และนักจิตวิทยามาพูดคุยกับ น.ส.นุ้ย เพื่อปรับสภาพจิตใจในเบื้องต้น เพื่อไม่ให้เด็กได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ พร้อมกับสอบถามรายละเอียดก็พบว่านางต่ายได้เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนที่ สภ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ แล้ว ตนจึงจัดยานพาหนะนำนางต่ายและ น.ส.นุ้ยกลับไปที่ อ.ภูเขียว เพื่อให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนต่อไป ทาง ศสส.ภ.4 มีหน้าที่เพียงบรรเทาทุกข์เบื้องต้นเท่านั้น
 



ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เข้าพบ พ.ต.ต.พงศ์พัสกร ตาปราบ พงส. (สบ 2) สภ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ เพื่อขอทราบข้อเท็จจริง เจ้าของคดีกล่าวว่า

เบื้องต้นตำรวจได้ลงบันทึกประจำวันแจ้งคนหายไว้เป็นหลักฐาน โดยนายทองเติม (สงวนนามสกุล) อายุ 38 ปี อยู่บ้านพรมใต้ ต.ผักปัง อ.ภูเขียว เข้าแจ้งความร้องทุกข์เมื่อวันที่ 4 มี.ค. ว่า น.ส.นุ้ย (นามสมมติ) บุตรสาวอายุ 15 ปี นักเรียน ชั้น ม.3 โรงเรียนแห่งหนึ่งใน อ.ภูเขียว หายออกจากบ้านไปตั้งแต่วันที่ 2 มี.ค. เวลา 09.00 น. สอบถามเพื่อนลูกสาวในหมู่บ้านทราบว่า หายไปกับพระสมเกียรติ ดีพร อายุ 21 ปี ที่มาเรียนพระธรรมเปรียญภาคพิเศษที่วัดบ้านพรมใต้ โดยทั้งสองติดต่อกันทางอินเตอร์เน็ต คาดว่าพระสมเกียรติจะพา น.ส.นุ้ยกลับวัดต้นสังกัดแห่งหนึ่งในท้องที่ ต.โคกสี อ.เมืองขอนแก่น จึงพากันออกตามหา พร้อมเข้าร้องทุกข์กับตำรวจภูธร ภาค 4 จนสามารถติดตามตัวได้แล้วญาติ

ผู้เสียหายคนหนึ่งเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า น.ส.นุ้ยเป็นหลานสาว เพิ่งเรียนจบชั้น ม.3
 
ระหว่างที่เรียนหนังสือจะมาช่วยเสิร์ฟอาหารที่ร้านของตน ซึ่งเปิดเป็นร้านข้าวต้มและอาหารตามสั่ง เพื่อหารายได้เป็นทุนการศึกษา ขณะนี้ญาติได้นำตัวพระสมเกียรติ ดีพร และ น.ส.นุ้ย เดินทางกลับมาที่ อ.ภูเขียว แล้ว เพื่อตกลงกันต่อหน้าพนักงานสอบสวนในวันที่ 5 มี.ค.นี้
 

ส่วนความคืบหน้าเกี่ยวกับปัญหาพระเล่นไฮไฟว์ แล้วประพฤติตนไม่เหมาะสมนั้น วันเดียวกันนี้ ที่ทำเนียบรัฐบาล

นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวถึงกรณีพระสงฆ์บางรูปใช้คอมพิวเตอร์โปรแกรมไฮไฟว์ติดต่อกับสีกา และมีการส่งข้อความที่ไม่เหมาะสมว่า ทราบเรื่องนี้แล้ว ได้มอบให้สำนักงานพระพุทธศาสนาฯไปดูแลแล้ว อยากขอให้เจ้าอาวาสวัดต่างๆช่วยดูแลความประพฤติของพระสงฆ์และสามเณรด้วย ส่วนมาตรการรองรับอื่นๆนั้น กำลังคิดว่าจะให้หน่วยงานใด เช่น กระทรวงไอซีที ช่วยพิจารณาเรื่องการใช้คอมพิวเตอร์กับอินเตอร์เน็ตของวัดต่างๆ ที่อาจต้องบล็อกบางเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสมกับพระสงฆ์และสามเณรได้หรือไม่
 

นายอำนาจ บัวศิริ ผอ.สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า

ได้มอบให้ส่วนคุ้มครองพระพุทธศาสนาทำเรื่องเสนอไปยัง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาฯแล้ว เพื่อจะส่งหนังสือขอความร่วมมือไปยังกระทรวงไอซีที ในการตรวจสอบพระที่เข้าไปเล่นไฮไฟว์ โดยเบื้องต้นจะตรวจสอบจากรายชื่อที่มีอยู่ในข่าวก่อนว่า พระที่เข้าไปเล่นไฮไฟว์มีจุดประสงค์อะไร ซึ่งตรวจสอบได้จากชื่อที่ใช้ในการลงทะเบียน และจะสาวไปถึงได้ว่าพระรูปนั้นอยู่ที่วัดใด ทั้งนี้ หากพบว่ามีการใช้ไฮไฟว์ไปในทางที่ไม่เหมาะสม จะต้องมีการแจ้งให้เจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ในพื้นที่นั้นๆได้ทราบ เพื่อดำเนินการลงโทษต่อไป


“การใช้เทคโนโลยีเพื่อเผยแผ่ธรรมะเป็นเรื่องที่ดี เคยย้ำกับเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์แล้วว่าจะต้องคอยเฝ้าระวังการใช้เทคโนโลยีของพระด้วย เพราะหากใช้ในทางที่ผิดจะเกิดผลเสียกับคณะสงฆ์ได้ ยืนยันว่าไม่ได้ ต้องการกีดกัน แต่จำเป็นต้องตรวจสอบว่าพระสงฆ์ที่เข้าไปเล่นไฮไฟว์เพื่ออะไรกันบ้าง” นายอำนาจกล่าว 


พระครูสังฆพินัย ผู้ช่วยอธิการบดี ฝ่ายกิจการนิสิต มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) กล่าวว่า

การใช้อินเตอร์เน็ตของพระสงฆ์มองได้ 2 ทาง หากนำไปใช้เป็นส่วนช่วยในการเผยแผ่ธรรมะก็เป็นเรื่องดี แต่ถ้านำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้องก็จะเกิดผลเสียต่อทางคณะสงฆ์ได้ ซึ่งการเล่นไฮไฟว์มองว่ามีพระบางส่วนเท่านั้นที่เข้าไปเล่น และจากการที่เป็นเว็บไซต์ที่วัยรุ่นนิยมเข้าไปเล่น ทั้งยังมีการใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสม เว็บดังกล่าวจึงเหมือนเป็นเว็บไซต์อโคจรสำหรับพระสงฆ์ ทั้งนี้ การเผยแผ่ธรรมะผ่านทางเว็บไซต์มีตั้งหลายรูปแบบ จึงควรที่จะหันไปใช้เว็บไซต์อื่นจะมีความเหมาะสมกว่า
 

นายมั่น พัธโนทัย รมว.กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กล่าวว่า
 
ในส่วนของกระทรวงไอซีที ได้ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในลักษณะตำรวจไอซีที หรือเทเลค็อป (Telecop) เพื่อทำหน้าที่ติดตามตรวจสอบเว็บไซต์ www.hi5.com ว่ามีการใช้อย่างเหมาะสม และถูกต้องตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 รวมถึงจะต้องพิจารณาว่าผิดศีลธรรมอันดีงามของไทยหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าการตรวจสอบการโพสต์ข้อความ รูปภาพ บนเว็บไซต์เป็นเรื่องที่ทำได้ลำบาก เพราะเป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่กระทรวงไอซีทีจะพยายามเข้าไปสอดส่องดูแลไม่ให้เกิดปัญหา ส่วนจะดำเนินการอย่างไรนั้น คงต้องมีการหารือร่วมกับหน่วยงานอย่างใกล้ชิด เพื่อติดตามดูแลผู้เข้าใช้เว็บไซต์ต่างๆต่อไป


ด้านสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เจ้าหน้าที่ไทยหลายฝ่ายเรียกร้องให้พระภิกษุหลีกเลี่ยงเข้าไปสร้างเว็บไซต์ส่วนตัวในโปรแกรมไฮไฟว์

ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่น เพื่อโพสต์ข้อความหรือรูปภาพและสนทนาออนไลน์เกี้ยวผู้หญิง เนื่องจากเป็นเรื่องไม่เหมาะสม ขณะที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงคนหนึ่งในกระทรวงวัฒนธรรม เผยพระสงฆ์ไม่ควรถูกสั่งห้ามใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ ควรพลิกวิกฤติเป็นโอกาสใช้เป็นเครื่องมือเผยแผ่ธรรมะให้ กับเยาวชนแทน ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เข้าไปสำรวจเว็บไซต์ไฮไฟว์ ของพระที่เคยนำเสนอข่าวไปนั้น ปรากฏว่าไม่สามารถเข้าไปดูได้แล้ว เพราะพระเจ้าของไฮไฟว์ทำการบล็อกไม่ให้คนที่ไม่ใช่เพื่อนเข้าไปดู มีเพียงไฮไฟว์ของพระวิทยากรเท่านั้นที่ยังสามารถเข้าเยี่ยมชมได้ โดยมีผู้เข้ามาโพสต์ให้ความเห็นและให้กำลังใจพระวิทยากรจำนวนมาก ทั้งยังยืนยันว่าไฮไฟว์ของพระวิทยากรเป็นไฮไฟว์ ที่ดี ให้ความรู้ด้านธรรมะกับวัยรุ่นได้อย่างดี
 

พระพิศาลธรรมพาที หรือพระพยอม กัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี

กล่าวถึงกรณีพระสงฆ์นำรูปตัวเองไปลงในโปรแกรมไฮไฟว์ว่า ทางศาสนาเรียกว่า โลกวัชชะ ทำให้ชาวโลกติเตียน ถือเป็นการไม่เหมาะสมกับรูปแบบของความเป็นสมณะที่จะมาโชว์โอ้อวด การโชว์โก้เก๋ในลักษณะโชว์วิวโชว์ภาพเต๊ะท่า เขาเรียกว่าพวกไม่มีสมานสัญญา ไม่หมายรู้ในตัวเองเป็นอะไร ก็เลยทำอะไรที่ออกมารกหูรกตาชาวบ้าน มันไปตรงกับที่ท่านพุทธทาสภิกขุพูดไว้เมื่อ 20 ปีก่อนว่า ต่อไปเทคโนโลยีจะวิวัฒนาการไปสู่ความวินาสนาการทางศีลธรรม เพราะพระยุคนี้อยากทันโลกทันสมัย แต่ไม่ พัฒนาตัวเองให้เข้มแข็งเสียก่อน และไม่ใช้เทคโนโลยีในทางสร้างสรรค์เพื่อเผยแผ่ธรรมะ ฉะนั้นต้องรับโทษ
 

“ไอ้ที่แอบเล่นในกุฏิก็ระยำพออยู่แล้ว แถมยังเล่นและนัดสีกามาข่มขืนให้เป็นข่าวอีก อย่างนี้เรียกว่าระยำสองป๊อกเด้ง พระยุคนี้อ่อนต่อการเรียนรู้เรื่อง ตา หู ลิ้น จมูก กาย ใจ เพราะตาได้รู้ หูได้ยินอะไร ก็ไม่เคยหักห้ามกายใจ เลยต้องตกไปเป็นเหยื่อของพวกนี้แหละ ที่จริงของพวกนี้มันก็มีประโยชน์ถ้าใช้เป็น แต่พระเณรพวกนี้อาจเข้าตำราคนโง่กินปลา ไม่เลือกกินแต่เนื้อ ตะกละตะกลามกินจนก้างติดคอ ที่ร้ายที่สุดก็ไปเที่ยวซื้อเวลากลางค่ำกลางคืน ตามห้างตามอะไร อย่างนี้ก็หมดสภาพสารรูป เรียกว่าหมดสมานสัญญา หมดความจำหมายว่าตัวเองเป็นอะไร ที่พูดส่งข้อความกันว่า คิดถึงนะ ฝันดีนะ อย่างนี้เป็นการพูดเกี้ยวพาราสี ถ้ามีความกำหนัดด้วย แล้วพูดไปด้วยก็อาบัติแล้ว ขนาดเจ้าอาวาสที่เป็นถึงรองเจ้าคณะจังหวัดคุยโทรศัพท์ติดต่อกับแม่ม่ายนัดไปเที่ยวรีสอร์ตที่เขาใหญ่ยังโดนจับสึก นับประสาอะไรกับพระหนุ่มเณรน้อยจะไปรอดยังไง”


“กระทรวงวัฒนธรรม กรมการศาสนา ไม่ควรปล่อยให้พระพวกนี้ลอยนวล แต่จะไม่ให้ใช้คอมพิวเตอร์ เลยคงไม่ได้ เพราะประโยชน์มันมีมากกว่า สมัยนี้ซีดีรอมเผยแผ่พระไตรปิฎกกดดูรู้เลยว่าพระพุทธเจ้าเทศนาตรงไหน แต่พระพวกนี้สารเลว ไม่ใช้ให้เกิดประโยชน์ เหมือนดาบสองคม ตัวเรายังไม่กล้าใช้เลยกลัวมันจะมาทิ่มเอา แต่พระพวกนี้ไม่กลัว มันกล้าในสิ่งที่ไม่ควรกล้า ควรจะกลัวไม่กลัว ชาวบ้านจะรู้จะเห็นไม่อายไม่กลัว หน้าด้าน พวกนี้เป็นโรคจิตว่าง อันธพาลงานไม่ทำ หมกมุ่นแต่กับพวกนี้ ไม่ทำงานทำการ ที่จริงงานพระ มีมากมาย กวาดลานวัด ทำความสะอาดกุฏิ แต่ไม่ทำ” เจ้าอาวาสวัดสวนแก้วกล่าว


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์