ที่ห้องประชุมชั้น 2 อาคารศูนย์ปฏิบัติการป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 4 มี.ค.
นายกมลวัฒน์ วิเศษศิริ รองอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เปิดเผยถึงความช่วยเหลือ “พลายสามพราน” ช้างที่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกช้างป่าด้วยกันทำร้ายว่า เมื่อปลายปี 2549 กรมอุทยานฯได้ส่งสัตวแพทย์เข้าไปในหน่วยพิทักษ์ป่าสามพราน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อช่วยเหลือลูกช้างป่าหลงโขลงเพศผู้ อายุ 5 ปี หรือพลายสามพราน ซึ่งได้รับบาดเจ็บจากการถูกบ่วงเชือกของพรานรัดที่เท้าหน้าขวา กระทั่งอาการดีขึ้น จึงส่งช้างตัวดังกล่าวกลับเข้าป่าตามเดิม
ต่อมาเมื่อกลางปี 2550 ชาวบ้านคลองตะเคียน หมู่ 13 ต.ท่าตะเกียบ อ.ท่าตะเกียบ จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งอยู่ห่างจากหน่วยพิทักษ์ป่าสามพราน 15 กม.
ทำหนังสือร้องเรียนว่าช้างป่าพลายสามพราน ลงมากินและทำลายพืชไร่ได้รับความเสียหาย จึงขอให้ย้ายช้างเข้าไปในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน บริเวณอ่างเก็บน้ำ ซึ่งเป็นพื้นที่หากินของช้างป่าโขลงภูไท ที่พลายสามพรานเคยอยู่ ซึ่งจากการตรวจสอบยังพบว่าพื้นที่บ้านคลองตะเคียนที่ช้างอาศัยหากินนั้น มีการใช้สารเคมีเกษตรจำนวนมาก ทำให้แผลที่เท้าหน้าขวาของช้างได้รับการระคายเคืองจากสารเคมี ส่งผลให้เกิดก้อนเนื้องอกขนาดใหญ่ น้ำหนักกว่า 10 กก.
จากปัญหาดังกล่าว ทางกรมอุทยานฯจึงเห็นสมควรย้ายช้างออกจากพื้นที่บ้านคลองตะเคียนไปยังพื้นที่ป่าภูไท ที่อยู่ห่างออกไปราว 25 กม.
เพื่อลดปัญหาบาดแผลที่ต้องสัมผัสกับสารเคมี และป้องกันช้างลงมาทำลายพืชไร่ของชาวบ้าน แต่หลังจากนำช้างไปปล่อยเข้าป่าได้เพียง 3 วัน ปรากฏว่าช้างเดินกลับมายังบ้านคลองตะเคียนที่เดิมอีก และพบร่องรอยถูกช้างป่าตัวอื่นใช้งาแทงเข้าที่สะโพก คาดว่าพลายสามพรานคงจะถูก ขับออกจากโขลง เนื่องจากข้อมูลงานวิจัยของสถานีสัตว์ป่าฉะเชิงเทราระบุว่า ประชากรช้างป่าในพื้นที่เขาอ่างฤาไน มีอัตราเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 10 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเกินกว่าศักยภาพพื้นที่ป่าจะรองรับได้ จึงน่าจะเป็นสาเหตุสำคัญทำให้พลายสามพรานถูกขับออกจากโขลง และกลับมาหากินในพื้นที่เดิม