เข้ากรุง-ร้องยธ. ถ้าไม่ช่วย-ฆ่าตัว
"ลุงตายนานแล้ว ลืมจำไม่ได้"บุกร้อง"ข่าวสด"อีกรอบ โดนกลุ่มอิทธิพลขู่ฆ่า แฉด.ต.ขู่ให้ถอนเรื่องร้องเรียนกลุ่มอิทธิพลขับไล่ออกจากที่ดินที่ชุมพร บอกคราวนี้ได้ตายจริงๆ แน่ เตรียมบุกร้องเรียนถึงกระทรวงยุติธรรมและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประกาศฆ่าตัวตายหน้าสนง.ตร. หากเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ช่วยเหลือ
เมื่อวันที่ 10 ก.พ. นายตายนานแล้ว ลืมจำไม่ได้ อายุ 70 ปี
อยู่บ้านเลขที่ 2 หมู่ที่ 9 ต.ตกพรม อ.ขลุง จ.จันทบุรี เดินทางเข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรมว่า ขณะนี้ตนถูกคนขู่ฆ่า หลังจากเคยเข้าร้องเรียนข่าวสดเมื่อวันที่ 8 ก.ย.2550 กรณีกลุ่มผู้มีอิทธิพลซึ่งมีคนมีสีหนุนหลังเข้ายึดครองที่ดินกว่า 200 ไร่ ในต.สลุย อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร พร้อมข่มขู่คุกคามเอาชีวิต จนต้องหนีออกจากพื้นที่ไปอยู่ที่จ.จันทบุรี และเปลี่ยนชื่อนามสกุลจากเดิม คือนายฉลอม แดงละอุ่น เป็นนายตายนานแล้ว ลืมจำไม่ได้ จนเป็นข่าวครึกโครมเมื่อกลางปีที่แล้ว
นายตายนานแล้ว กล่าวว่า
เดิมพื้นเพเป็นคนอ.สวี จ.ชุมพร แต่ไปประกอบอาชีพขุดพลอยที่จ.จันทบุรี เป็นเวลานานกว่า 30 ปี กระทั่งเลิกกิจการดังกล่าว หุ้นส่วนกิจการพลอยจึงยกที่ดินเหมืองพลอยให้เป็นสมบัติจำนวน 52 ไร่ ต่อมาต้องการกลับไปใช้บั้นปลายชีวิตที่จ.ชุมพร บ้านเกิด จึงตกลงแลกที่ดินผืนดังกล่าวกับที่ดินจำนวน 200 ไร่ พื้นที่ ม.5 บ้านหงษ์เจริญ ต.สลุย อ.ท่าแซะ จากนายประเสริฐ เติมศิริ เจ้าของบริษัททองผาภูมิค้าไม้ เมื่อปี 2536 โดยคิดมูลค่าที่ดินเป็นเงินจำนวน 40,000 บาท ตามที่นายประเสริฐซื้อต่อมาจากเจ้าของเดิม ซึ่งมีการทำหนังสือสัญญาซื้อขายไว้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และก่อนจะแลกเปลี่ยนดังกล่าว ได้ตรวจสอบกับประชาชนในพื้นที่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ป่าไม้จังหวัดชุมพร รวมถึงเจ้าหน้าที่ส.ป.ก.แล้วว่าเป็นที่ดินที่อยู่นอกพื้นที่ป่าสงวน และเตรียมที่จะออกส.ป.ก.ให้
นายตายนานแล้ว กล่าวอีกว่า
เมื่อได้ที่ดินดังกล่าวมา จึงเข้าไปซ่อมแซมบ้านพักซึ่งมีอยู่เดิม จากนั้นพาลูกหลานเข้าอยู่อาศัยทันที พร้อมปลูกยางพารา และไม้หอม แซมจากพืชผลเดิมที่มีอยู่แล้วในพื้นที่ ต่อมาประมาณเดือนพ.ค.2537 กลุ่มผู้อิทธิพลมาขับไล่ให้ออกจากพื้นที่ โดยอ้างกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของที่ดินผืนดังกล่าว แต่ไม่มีเอกสารมาแสดงยืนยัน ตนจึงไม่ยอมย้ายออก เป็นเหตุให้ผู้มีอิทธิพลไม่พอใจข่มขู่ว่าจะฆ่าล้างครัว ตนจึงไปแจ้งความที่สภ.สลุย ซึ่งเจ้าหน้าที่บอกว่าหากจับตัวได้จะดำเนินคดีทันที แต่ไม่ได้ลงบันทึกประจำวันแต่อย่างใด เวลาผ่านไปไม่นาน กลุ่มอิทธิพลเริ่มนำรถเข้าไปไถพืชไร่ที่มีอยู่ในพื้นที่ รวมถึงนำกุญแจไปปิดล็อกบ้านพัก จนตนต้องหนีไปอยู่กับเพื่อนบ้าน แต่กลุ่มอิทธิพลยังตามไปข่มขู่เพื่อนบ้านไม่ให้พักอาศัยด้วย โดยมีเพื่อนบ้านคนหนึ่งถูกยิงข่มขู่จนได้รับบาดเจ็บ เมื่อไปแจ้งความ เจ้าหน้าที่กลับไม่ให้ความสนใจอีก จึงตัดสินใจเข้าแจ้งความต่อผกก.สภ.ท่าแซะสมัยนั้น ซึ่งไม่ได้รับความสนใจเช่นเดียวกัน
"หลังจากนั้นประมาณปี 2539 บ้านผมถูกกลุ่มผู้มีอิทธิพลรื้อทิ้งทั้งหลัง เมื่อไปแจ้งความยังเป็นเหมือนเดิม คือไม่มีใครยอมรับแจ้งความ ผมจึงไปร้องเรียนต่อผู้ว่าฯ ผบช.ภาค 8 กรมตำรวจ และนายกรัฐมนตรี ต่อมานายอำเภอท่าแซะมีหนังสือให้ผมถือไปถึงผกก.สภ.ท่าแซะ จึงยอมรับแจ้งความในวันที่ 1 ต.ค.2539 จากนั้นเรื่องเงียบหายไป ไม่มีความคืบหน้า ต่อมามีการโยกย้ายผกก.สภ.ท่าแซะ โดยผกก.คนใหม่เข้ามาพบและรับปากว่าจะดำเนินการให้ แต่ขอเจรจาให้ผมยอมเซ็นหนังสือยกคำร้องเรียนผกก.คนเก่า เมื่อผมเซ็นไปตามต้องการ เรื่องยังคงเงียบไปเหมือนเดิม แต่ที่หนักกว่าเก่า คือกลุ่มผู้มีอิทธิพลข่มขู่มากขึ้น จนผมต้องตัดสินใจย้ายกลับไปอยู่ที่จ.จันทบุรี และต้องเปลี่ยนชื่อนามสกุลว่า นายตายนานแล้ว ลืมจำไม่ได้ เพื่อเป็นการประชดชีวิต" นายตายนานแล้วกล่าว