พลขับเผยคำพูดสุดท้ายสารวัตรแบงค์ก่อนสิ้นลม น่าสงสารจับใจ

หน้าแรกTeeNee ที่นี่ข่าววันนี้, ข่าวหน้าหนึ่ง ข่าวอาชญากรรม พลขับเผยคำพูดสุดท้ายสารวัตรแบงค์ก่อนสิ้นลม น่าสงสารจับใจ

ทีมข่าวสำนักข่าววันนิวส์ เดินทางลงพื้นที่ไปยังจุดสายตรวจตำรวจทางหลวงหน่วยบริการดอนยายหอมพื้นที่จังหวัดนครปฐม พูดคุยกับกาบตำรวจชุติเทพ คชพงษ์ พลขับรถวิทยุตรวจการณ์ 2103 สายตำรวจทางหลวงจุดตรวจดอนยายหอม และทำหน้าที่เป็นพลขับของพันตำรวจตรีศิวกร สายบัว หรือ "สารวัตรศิว" ตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา ที่มาปฏิบัติหน้าที่ที่ตำรวจทางหลวง 1 กองกำกับการ 2

ดาบตำรวจชุติเทพ เล่าให้ทีมข่าวฟังว่า ตลอดระยะเวลา 6 เดือนกว่า ที่ได้ร่วมงานและใกล้ชิดกับสารวัตร ต้องบอกว่าประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกันที่กองบังคับการปราบปราม ตัวเองได้เข้าไปแนะนำตัวว่าจะมาทำหน้าที่เป็นพลขับประจำตัวให้ ซึ่งความประทับใจในตอนนั้นเกิดขึ้นทันทีจากการพูดคุยกันเพียงไม่นาน สัมผัสได้ถึงความมีมารยาทและความอ่อนน้อม จนทำให้ตอนนั้นตัวเองรู้สึกเกร็ง เพราะในฐานะที่จะมาเป็นเจ้านาย แต่สารวัตรจะชิงยกมือไหว้ตัวเองก่อนทุกครั้ง และทุกคำที่สารวัตรพูดกับตัวเองจะเรียก "พี่ต้น" ทุกครั้ง ไม่มีการถือตัว ซึ่งในช่วงแรกตัวเองมีความตั้งใจจะออกจากตำแหน่งพลขับเนื่องจากปัญหาสุขภาพ แต่สารวัตรก็อยากให้ได้ลองทำหน้าที่ไปก่อน และอยากได้คนช่วยงานในฐานะที่เคยปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่นี่มากกว่า 10 ปี เพราะตอนที่สารวัตรเข้ามารับตำแหน่งที่นี่เป็นช่วงที่ในพื้นที่กำลังมีปัญหาเรื่องส่วยรถบรรทุกที่ค่อนข้างเป็นข่าวดัง

ดาบตำรวจชุติเทพ หรือดาบต้น เล่าอีกว่าลักษณะนิสัยของสารวัตรแบงค์ เป็นคนที่เอาจริงเอาจังกับงานเต็มที่ มีความมุ่งมั่นในการทำหน้าที่จริงจัง เวลานั่งรถออกไปปฎิบัติหน้าที่ด้วยกันก็จะสัมผัสได้ เหมือนที่มีปรากฏออกเป็นข่าวไปก่อนหน้านี้ แต่ในส่วนความดูแลเอาใจใส่ลูกน้องก็ไม่ยิ่งหย่อนให้ใจลูกน้องทุกคน โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกินที่ทางสารวัตรต้องให้ลูกน้องกินดีอยู่ดี ทุกครั้งก็จะมีการไลน์หรือโทรมากำชับให้ดูแลเรื่องกาแฟเครื่องดื่มระหว่างที่ปฏิบัติงานอยู่ โดยใช้เงินส่วนตัวโอนมาให้ จนทำให้ลูกน้องตำรวจทุกนายประทับใจในฐานะเจ้านายที่เอาใจใส่ขนาดนี้ และยังมีมุมน่ารักคุยเล่นเหมือนเป็นพี่น้อง จนทำให้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมารู้สึกผูกพันธ์อย่างมาก

ดาบต้นยังบอกอีกว่าช่วงวินาทีสุดท้ายที่ได้ฟังจากพลขับ ที่เป็นคนขับรถพาสารวัตรมาที่โรงพยาบาลเล่าสิ่งที่ตัวเองฟังแล้วรู้สึกสะเทือนใจอย่างมากให้ฟังเพิ่มเติมอีกว่า ตอนนั้นสารวัตรยังมีสติอยู่และยังพูดถามกับพลขับว่า "พี่เขายิ่งผมทำไม" ซึ่งนายตำรวจรุ่นน้องบอกว่าตอนนั้น เขาพยายามพูดและเรียกสติสารวัตรแล้วบอกสารวัตรว่าอย่าหลับ ก่อนที่เสียงของสารวัตรจะค่อยแผ่วเบาลง

ทีมข่าวได้ขอให้เล่าย้อนเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุอีกครั้ง โดยดาบต้น เล่าว่า เป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดเพราะตลอดระยะเวลาที่มาปฎิบัติหน้าที่อยู่ที่นี่ไม่เคยมีสักวันที่สารวัตรจะเดินทางไปงานเลี้ยงหรือไปทานอาหารกับกลุ่มผู้ประกอบการในพื้นที่ ซึ่งวันเกิดเหตุตัวเองไม่ได้เดินทางไปร่วมงานด้วยแต่มีพลขับเดินทางไปพร้อมกับสารวัตรอีกคน และโทรมาแจ้งตัวเองหลังเกิดเหตุได้ประมาณ 10 นาทีว่า "นายถูกยิง" พอตัวเองประสานถามข้อมูลจนได้รายละเอียดก็เดินทางไปที่โรงพยาบาลแรก คือ โรงพยาบาลสินแพทย์ จนเดินทางไปถึงแต่ได้รับแจ้งกลับมาว่าได้นำตัวสารวัตรส่งโรงพยาบาลนครปฐม พอตัวเองไปถึงตอนนั้นสารวัตรถูกส่งตัวเข้าห้องฉุกเฉินแล้วและได้เจอกับทางผู้กำกับเบิ้ม และผู้กำกับ สน.พญาไท ซึ่งก็ได้สั่งการให้ตัวเองและตำรวจรวม 4 นาย เข้าไปตรึงกำลังและตรวจสอบในที่เกิดเหตุ

ทันทีที่ไปถึงที่เกิดเหตุตอนนั้นสิ่งที่เห็น คือ มีคนคาดว่าเป็นคนของกำนันนกประมาณ 6 คน กำลังเช็ดทำความสะอาด และเก็บกวาดพื้นที่ในจุดที่เกิดเหตุ แทบจะดูไม่รู้ว่าเคยมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น และไฟทุกอย่างถูกปิดมืด และช่วงจังหวะนั้นมีคนกำลังจะย้ายโต๊ะจีน 1 โต๊ะลักษณะเหมือนกำลังจะห่อผ้าคลุมโต๊ะจีนตัวเองและตำรวจที่เข้าไปได้สั่งให้หยุดการกระทำแต่ดูเหมือนว่าคนงานกลุ่มนั้น จะไม่สะทกสะท้านยังคงตั้งหน้าตั้งตาเก็บอยู่อย่างนั้น ไม่ได้ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตัวเองจึงได้เดินไปที่ป้อม รปภ. ซึ่งมีคนนั่งอยู่ ตัวเองได้ไปบอกให้เปิดไฟแต่กลับได้รับคำตอบมาว่าไม่รู้ว่าแผงวรจรอยู่ตรงไหน ทำให้ตัวเองต้องย้ำพูดซ้ำว่า "ขอให้ไปเปิดไฟหน่อยช่วยให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ด้วย" และจนมารู้ภายหลังในข่าวว่าเป็นบุคคลเดียวกับที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาในภายหลัง