ผู้ช่วย ผบ.ตร.พร้อมบิ๊กตำรวจนำกำลังคอมมานโดฯ 20 นาย คุมทีมสังหารนายก อบจ.แพร่เข้ากรุง ส่งตัวให้กองปราบฯคุมฝากขัง-ดำเนินคดี ขณะที่ "วงกต มณีรินทร์"สั่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนรวบรวมหลักฐานพร้อมขยายผลสืบสวน ด้านลูกสาวโกรักษ์โวยตำรวจหวังสร้างผลงาน ทั้งที่ไม่มีหลักฐานมัดพ่อบงการฆ่า
กองปราบฯ เวลา 10.45 น.วันที่ 30 ตุลาคม
พล.ต.ท.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ผู้ช่วย ผบ.ตร.,พล.ต.ต.ปัญญา มาเม่น รอง ผบช.ก.,พ.ต.อ.ประยนต์ ลาเสือ ,พ.ต.อ.ฐิติราช หนองหาญพิทักษ์ รอง ผบก.ป.,พ.ต.อ.ประเสริฐ พัฒนาดี ผกก.4 บก.ป. พร้อมกำลังตำรวจหน่วยคอมมานโด,กองปราบปรามอาวุธครบมือจำนวน 20 นาย ควบคุมตัวนายจงรักษ์ ศุภศิริ หรือโกรัก อายุ 55 ปี ญาติ น.ส.ศิริวรรณ ปราศจากศัตรู หรือแม่เลี้ยงติ๊ก อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาใช้จ้างวานฆ่า,นายธานี หรือเอช วงศ์แพทย์ อายุ 31 ปี มือปืน,นายอิทธิกร หรือเล็ก อึ้งตระกูล อายุ 30 ปี และนายเกียรติศักดิ์ หรือ หนุ่ย ปงลังกา อายุ 25 ปี คนชี้เป้า ผู้ต้องหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จากสนามบินกรมการบินพาณิชย์ อ.เมือง จ.แพร่ มายังกองบินตำรวจ ย่านบางเขน เพื่อนำตัวมาสอบสวนดำเนินคดีที่กองปราบปราม หลังผู้ต้องหาทั้งหมดถูกจับกุมเมื่อวันที่ 29 ต.ค.ที่ผ่านมา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อมาถึงกองปราบปราม น.ส.สุลักษภณา ศุภศิริ อายุ 25 ปี และ น.ส.สุทธิดา ศุภศิริ อายุ 20 ปี บุตรสาวของนายจงรักษ์ ต่างโผเข้าสวมกอดบิดาและร่ำไห้ด้วยความเสียใจ
เนื่องจากเชื่อว่าบิดาไม่มีส่วนรู้เห็นหรือเกี่ยวข้องกับคดีที่เกิดขึ้น โดยได้นำเสื้อแจ๊คเก็ตมาคลุมใบหน้าของบิดา พร้อมร้องขอความเป็นธรรมต่อสื่อมวลชน โดยน.ส.สุลักษภณากล่าวว่า บิดาของตนมีความสนิทสนมกับ น.พ.ชาญชัยเป็นอย่างดี รวมทั้ง น.พ.ชาญชัยก็เป็นผู้ทำคลอดตนและพี่น้องทั้ง 3 คน ที่ผ่านมา บิดาทำแต่งานซึ่งครอบครัวประกอบธุรกิจส่วนตัว ไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง เพียงแต่เรามีญาติเป็น ส.ส.จึงถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้อง คดีนี้ตนอยากขอความเป็นธรรมให้กับครอบครัวตนบ้าง บิดายังไม่ได้ให้การใด ๆ แต่ตำรวจก็พามาแถลงข่าวจนตกเป็นจำเลยสังคมไปแล้ว
“ตำรวจต้องการผลงานว่าสามารถทำคดีได้รวดเร็ว แต่ไม่คำนึงถึงจิตใจของผู้บริสุทธิ์ว่าจะรู้สึกอย่างไร หนูกับน้องสาวเชื่อมั่นว่า บิดาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้เลยแม้แต่นิดเดียว และคนในครอบครัวเราก็ไม่เคยรู้จักกับกลุ่มผู้ต้องหาที่ตำรวจจับกุมไว้ทั้ง 3 คนเลย ก็เพิ่งจะเคยเห็นหน้าเป็นครั้งแรก” น.ส.สุลักษภณา กล่าวทั้งน้ำตา