ผบ.ตร.เปิด 8 เหตุผลสรุป คดีชมพู่ น้องไม่ได้ขึ้นเขาไปตายเอง!
1. เส้นทางยากลำบาก มีทางขึ้น 4 เส้นทาง แต่ชันเกิน 60 องศา และมีอุปสรรคเนินหินขวางกั้นทุกเส้นทาง
2. พลังงานไม่เพียงพอ ผู้เชี่ยวชาญยืนยันว่าอาหารมื้อเช้าที่น้องชมพู่กินก่อนหายตัวไปคือ ไข่เจียว 3 คำ และน้ำส้ม ไม่สามารถให้พลังงานเพียงพอจะขึ้นเขา ไปจนถึงจุดที่พบศพได้
3. ประสบการณ์ชาวบ้าน ยืนยันว่าเด็ก 3 ขวบไม่สามารถขึ้นไปจนถึงจุดพบศพได้
4. กรณีศึกษาจากการหายตัวไปของนางทิน ซึ่งระยะทางเป็น 2 เท่าของน้องชมพู่ แต่ชาวบ้านก็สามารถหาเจอภายในคืนเดียว
5. ความเห็นของแพทย์ โดยแพทย์นิติเวชมีความเห็นว่า เด็ก 3 ขวบไม่สามารถเดินขึ้นไปบนภูเขาเองได้ กุมารแพทย์ ระบุว่าเด็ก 3 ขวบ แม้ห่างไป 200 เมตรยังสามารถเห็นตัวบ้านได้ ไม่น่าจะหลงทาง พัฒนาการของเด็กก็ไม่สามารถไปยังจุดดังกล่าวได้
6. สภาพศพเปลือย ซึ่งบิดามารดายืนยันว่าเด็กถอดเสื้อผ้าเองไม่ได้
7. หลักฐานที่เกิดเหตุ พบเส้นผม/ขน ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ 36 เส้น จากการตรวจสอบเป็นเส้นผมของน้องชมพู่เอง ซึ่งถูกตัดเฉือนด้วยมีด เป็นการกระทำของคนอื่น
8. น้องชมพู่กลัวที่สูง ที่มืด สวนป่า สวนยางพารา ไม่เคยไปเล่นไกลบ้าน และพ่อแม่ก็ไม่เคยพาขึ้นภู หรือไปเล่นไกล ๆ
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า มีผู้พาน้องชมพู่ไป และทำให้ถึงแก่ความตายไม่ว่าจะด้วยทางตรงหรือทางอ้อม
พล.ต.อ.สุวัฒน์ ยังได้สรุป 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่
1. ช่วงเวลาที่เกิดเหตุ น้องชมพู่หายตัวไประหว่าง 09.11-09.49 น. โดยอ้างอิงจากเวลาดูคลิปวิดีโอสุดท้าย และเวลาที่พี่สาวใช้เฟซบุ๊กเป็นเวลาสุดท้ายก่อนพบว่าน้องหายไป
2. ช่วงเวลาที่เสียชีวิต แพทย์ประเมินจากการเน่าของศพและหนอนที่ชอนไชในศพ คาดว่าจะเสียชีวิตในช่วงวันที่ 12 พ.ค. 63 เวลา 14.30 น. ไปจนถึงวันที่ 13 พ.ค. 63 เวลา 14.30 น. 24 ชั่วโมง จากการสอบถามนักกีฏวิทยาให้ความเห็นว่า หนอนในศพในวันที่แพทย์ผ่าพิสูจน์ หนอนอยู่ในระยะที่ 3 ซึ่งเป็นระยะสุดท้าย เด็กน่าจะเสียชีวิตมา 3 วัน ทั้งนี้ จากการจำลองการเน่าของเนื้อหมู พบว่าบนภูเหล็กไฟอัตราการเน่าจะเร็วกว่าปกติ เนื่องจากมีความร้อนและความชื้นที่มากกว่า จึงสอดคล้องกับเวลาการเสียชีวิตที่ประเมินเอาไว้
3. สาเหตุการเสียชีวิต พบร่องรอยบาดแผลตามร่างกายหลายจุด บาดแผลที่พบไม่ถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้ และไม่พบร่องรอยการล่วงละเมิดทางเพศ ไม่สามารถระบุได้เนื่องจากศพเน่า แต่มีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดจากการขาดน้ำและอาหาร ไม่พบอาหารในกระเพาอาหาร
ผบ.ตร.ระบุอีกว่า คนร้ายน่าจะเป็นคนใกล้ชิดที่น้องสนิทสนม เพราะปกติน้องจะไม่ยอมให้ใครอุ้มหากไม่รู้จักหรือสนิท และคนร้ายอาจจะเป็นคนนอกที่ลงมือกระทำ ซึ่งทั้งนี้ผู้ที่ลงมือจะต้องรู้จักเส้นทางบนภูเหล็กไฟเป็นอย่างดี
ส่วนพยานหลักฐานต่างๆ ทั้งการสอบปากคำ การเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอ สิ่งของ วัตถุพยาน ทางเจ้าหน้าที่ได้ใช้ระบบการตรวจสอบที่ได้มาตรฐานระดับสากล โดยตำรวจพบบุคคลต้องสงสัยแต่ยังเปิดเผยไม่ได้ แต่หากพบหลักฐานที่ชัดเจนก็สามารถออกหมายจับได้ทันที