ยกฟ้องอดีตผกก.ป.-อัจฉริยะ โกง11ล.เจ้าของร้านมือถือ


ยกฟ้องอดีตผกก.ป.-อัจฉริยะ โกง11ล.เจ้าของร้านมือถือ

เมื่อวันที่ 14 ก.ย. ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถนนนครไชยศรี ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อท.(ผ) 23/2559

 ที่ น.ส.รัฏฏิการ์ ชลวิริยะบุญ เจ้าของกิจการร้านรับซื้อขายแลกเปลี่ยนและซ่อมแซมอุปกรณ์โทรศัพท์มือถือ ย่านมาบุญครอง เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง พ.ต.อ.พงษ์ไสว แช่มลำเจียก ผกก.สอบสวน กก.6 บก.ป., พ.ต.ท.ชัยพร นิตยภัตร์ สว.สอบสวน กก.1 บก.ป., พ.ต.อ.ณษ เศวตเลข รองผู้บังคับการกองปราบปราม นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม, นายณัฐพสิษฐ์ ชาญจรูญจิต, น.ส.วิภาณี ต๊ะมามูล และ น.ส.ธนสร แก้วเทพ เป็นจำเลยที่ 1 7 ในความผิดฐานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และร่วมกันสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยกล่าวหาว่า ทุจริตต่อหน้าที่เบิกถอนเงิน 11 ล้าน จากบัญชีธนาคารที่ถูก ปปง. อายัดไว้จ่ายให้ผู้เสียหายคดีฉ้อโกงประชาชน นำมาแบ่งกันเองจนผู้เสียหายตัวจริงได้รับเงินไม่ครบ โดยวันนี้จำเลยทั้งหมดเดินทางมาศาลเพื่อฟังคำพิพากษา

ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้วคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยในประการแรก ว่า การกระทำของจำเลยที่ 5-7 มีมูลเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 172, 174 หรือเป็นผู้สนับสนุนในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 200 หรือไม่ เห็นว่าการที่จำเลยที่ 5-7 แจ้งความดำเนินคดีกับ น.ส.บุศรินทร์ ยี่โหนด และนายมนัส โชติขัน จนทั้งสองถูกจับกุมดำเนินคดี เมื่อต่อมาพนักงานสอบสวนตรวจสอบพบว่าบุคคลทั้งสองโอนเงินที่ได้มาจากการฉ้อโกง ซึ่งรวมเงินของจำเลยที่ 5-7 ด้วยแล้วมีการโอนเงินไปเข้าบัญชีผู้อื่นหลายราย รวมทั้งบัญชีเงินฝากของโจทก์ ต่อมาจำเลยที่ 5-7 ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์ร่วมกับบุคคลทั้งสองกระทำผิดฐานฉ้อโกงประชาชนเห็นได้ว่าเป็นการแจ้งข้อเท็จจริงไปตามลำดับเหตุการณ์ โดยข้อเท็จจริงที่แจ้งดังกล่าวก็มีมูลความจริงที่โจทก์เองก็ยอมรับว่ามีการรับโอนเงินจากบุคคลทั้งสองจริง จึงมิได้มีข้อความใดที่จำเลยที่ 5-7 กล่าวอ้างอันเป็นเท็จหรือบิดเบือนข้อเท็จจริง

ส่วนการกระทำของโจทก์จะเป็นความผิดต่อกฎหมายตามที่จำเลยที่ 5-7 แจ้งหรือไม่ ไม่ใช่ข้อสำคัญ ถึงแม้จำเลยที่ 5-7 จะแจ้งต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับโจทก์ก็น่าเชื่อว่าเป็นการที่จำเลยที่ 5-7 กล่าวอ้างไปตามที่รับทราบข้อมูลมาจากพนักงานสอบสวนตามความเข้าใจของตน

ส่วนที่โจทก์รับโอนเงินมาดังกล่าวจะเป็นความผิดหรือไม่เป็นอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่จะดำเนินการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานต่อไป การกระทำของจำเลยที่ 5-7 ไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 172, 174 หรือเป็นผู้สนับสนุนในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 200 ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า คดีโจทก์ส่วนนี้ไม่มีมูลชอบแล้วศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบเห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

ส่วนกระทำของจำเลยที่ 1-3 มีมูลเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157, 200 และการกระทำของจำเลยที่ 4-7 มีมูลเป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1-3 ในส่วนนี้หรือไม่

โจทก์อุทธรณ์ว่า ความจริงเส้นทางการเงินได้โอนไปยังผู้รับโอนหลายราย เหตุที่จำเลยที่ 5-7 เลือกที่จะแจ้งเอาเฉพาะกับโจทก์ก็อาจเป็นเพราะรายของโจทก์มีการรับโอนเงินเป็นจำนวนมากมียอดเงินสูงรวมถึงยอดเงินคงเหลือในบัญชีเงินฝากของโจทก์ เพราะการแจ้งก็เป็นการสืบเนื่องมาจากเพื่อต้องการให้ได้รับเงินคืน

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การแจ้งเฉพาะโจทก์นั้นจำเลยที่ 5-7 อาจเห็นได้ว่าเพียงพอที่ตนเองจะได้รับบรรเทาความเสียหายได้ดีกว่าผู้รับโอนรายอื่นเท่านั้น การไม่แจ้งหรือไม่ดำเนินการแจ้งเอากับรายอื่นก็หาทำให้การกระทำของโจทก์เป็นความผิดไป แต่เพียงผู้เดียว โดยที่ผู้รับโอนเงินรายอื่นจะพ้นผิดไปก็หาไม่จึงไม่ใช่เรื่องที่จำเลยที่ 1-3 มีพฤติการณ์ไม่สุจริตเลือกปฏิบัติเฉพาะรายของโจทก์ ทำนองเดียวกันการที่จำเลยที่ 1-3 นัดให้จำเลยที่ 5-7 มารับเงินที่เบิกถอนจากบัญชีของโจทก์ในเวลาหลัง 18.00 น. ก็เป็นเรื่องที่สามารถกระทำได้ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาและการร่วมกันเบิกถอนเงินในวันที่ 8 ต.ค. 2558 ที่โจทก์อุทธรณ์ว่ามีการแก้ไข พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและมีการบังคับใช้ฉบับที่แก้ไขใหม่แล้วจำเลยที่ 1-3 ก็ทราบอยู่แล้ว เพราะทนายความโจทก์ได้โทรศัพท์แจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบก่อนแล้ว ก็ได้ความจากที่ทนายโจทก์เองเบิกความตอบทนายจำเลยที่ 2 เเละที่ 5-7 ถามค้านว่า พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินที่เบิกความว่ามีการแก้ไขใหม่คือ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2558 ในมาตรา 2 ระบุให้ใช้ พ.ร.บ.ฉบับนี้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประกาศเป็นต้นไป การเบิกถอนเงินจากบัญชีของโจทก์ที่ธนาคาร ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุคดีนี้จึงเป็นวันก่อนที่ พ.ร.บ.ฉบับนี้มีผลใช้บังคับ จึงเป็นอำนาจที่ยังสามารถกระทำได้ จำเลยที่ 1-3 หากจำต้องดำเนินการตามขั้นตอนของพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฉบับที่ได้มีการแก้ไขใหม่ไม่

การกระทำของจำเลยที่ 1-3 ในส่วนนี้จึงไม่เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบอันจะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157, 200 และการกระทำของจำเลยที่ 4-7 จึงไม่เป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1-3 ในส่วนนี้ด้วยคำพิพากษาศาลชั้นต้นชอบ แล้วศาลอุทธรณ์ฯ เห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้นพิพากษายืน.


เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
คุณ : me
สถานะ : บุคคลทั่วไป
IP : 203.151.136.238

203.151.136.238,,238.136.151.203.sta.inet.co.th ความคิดเห็นที่ 2 [อ้างอิง]
wellcome


[ วันอาทิตย์ ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 10:41 น. ]
เช็คเบอร์มือถือ คลิ๊กเลย ++
กระทู้เด็ดน่าแชร์