
รมต.บี เดือด! เฟซบุ๊ก ไม่ให้ความร่วมมือ จ่อดำเนินคดี หลังแปลข้อความพลาด

จากกรณีที่มีการเผยแพร่ภาพจากหน้าเพจเฟซบุ๊กของสื่อหลายแห่งในการถ่ายทอดสดพิธีจุดเทียนถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา และมีข้อความที่ไม่เหมาะสมแสดงขึ้นมา
โดยเป็นคำแปลจากข้อความต้นฉบับภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยที่มีความหมายไม่ถูกต้องนั้น กระทรวงไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้ประสานไปยังเฟซบุ๊กแล้ว ขณะที่ ไทยพีบีเอสเองก็ได้แจ้งความไปยัง กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท) เพื่อดำเนินคดีกับเฟซบุ๊กแล้ว
นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา กระทรวงไม่เคยนิ่งนอนใจกับการดำเนินการเว็บไซต์ผิดกฎหมายตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งยูทูปให้ความร่วมมือ 90% ขณะที่เฟซบุ๊กให้ความร่วมมือเพียง 30% เท่านั้น
เห็นได้ว่า เฟซบุ๊กไม่ให้ความร่วมมือเลย ทั้งๆที่เขามาทำงานในประเทศไทย มาให้บริการกับคนไทย จึงควรที่จะเข้าใจบริบทของสังคมไทย ยอมรับในสิ่งที่คนไทย ยึดมั่น นับถือ และรับผิดชอบสังคมไทยด้วย ไม่ใช่ส่งไปให้ปิดแล้วก็นิ่งเฉย คนทั่วไปก็ไม่เข้าใจคิดว่ากระทรวงฯนิ่งเฉย เมื่อต้นเรื่องที่ต่างประเทศไม่ให้ความร่วมมือ กระทรวงฯก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะกระบวนการทำงานของกระทรวงฯได้ประสานไปหมดทุกขั้นตอนแล้ว
ทั้งนี้ กระทรวงดีอีเอส สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต (ไอเอสพี) หารือร่วมกัน ถึงมาตรการเชิงรุกเกี่ยวกับเรื่องการกระทำความผิดทางออนไลน์ ที่ดำเนินการตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พร้อมตั้งคณะทำงานร่วมกันในการทำงานเชิงรุกมากขึ้น เพื่อให้มีการแจ้งผลการดำเนินการรวดเร็วขึ้น มีความต่อเนื่องในการทำงานมากขึ้น
จากเดิมที่คณะทำงานเดิมอาจจะทำงานไม่ต่อเนื่องในเรื่องของรายชื่อคนเข้ามาประชุมและไม่ได้มีการรายงานผลการปิดเว็บไซต์แบบรวดเร็ว ซึ่งต่อจากนี้คณะทำงานชุดนี้ต้องนำมาปัดฝุ่นให้ทำงานเชิงรุกมากขึ้น ซึ่งก็จะเป็นประโยชน์ต่อไอเอสพีด้วยว่าไม่ได้ละเลยการปฏิบัติหน้าที่และอาจ
นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ในรอบ 7 เดือนแรกของปี 2563 กระทรวงดีอีเอส ได้มีการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และประสานงานร่วมกับไอเอสพี จนนำไปสู่กระบวนการตรวจสอบ รวบรวมพยานหลักฐาน
และยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งปิดหรือลบข้อมูลในเว็บไซต์ผิดกฎหมายไปแล้ว จำนวน 7,164 ยูอาร์แอล (วันที่ 23 กรกฎาคม 2563) จากจำนวนที่กระทรวงได้รับแจ้งทั้งสิ้น 8,715 ยูอาร์แอล และมีการส่งศาล 7,164 ยูอาร์แอล
สำหรับการกระทำผิดส่วนใหญ่ที่ได้รับข้อมูลจากการแจ้งข้อมูลเข้ามา พบว่าส่วนใหญ่เกิดขึ้นบนเครือข่ายสังคมออนไลน์ และมีช่องทางอื่นๆ บ้าง ทั้งนี้ ดีอีเอส ได้ดำเนินการส่งข้อมูลให้กับ บก.ปอท. จำนวน 7,164 ยูอาร์แอล พร้อมพยาน หลักฐาน และคำสั่งศาล เพื่อดำเนินการหาตัวผู้กระทำความผิดตามกฎหมายต่อไป
"ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีเอส ขอขอบคุณหน่วยงานต่างๆ ที่ได้ดำเนินการร่วมกัน โดยมีขั้นตอน เริ่มจากรับแจ้งเว็บไซต์จากประชาชน พร้อมทั้งตรวจสอบ รวบรวมหลักฐานพยานที่ครบถ้วน และมีขั้นตอนของการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งให้ปิดหรือลบข้อมูลต่อไป จากนั้นขั้นตอนสำคัญคือ หากได้คำสั่งศาลก็จะมีการส่งให้กับไอเอสพี
และส่งคำสั่งศาลให้กับผู้ให้บริการสื่อสังคมออนไลน์ (เฟซบุ๊ก, ยูทูป, ทวิตเตอร์) เพื่อดำเนินการปิดหรือลบข้อมูลที่ผิดกฎหมายต่อไป โดยจะมีการแต่งตั้งคณะทำงานร่วมกับไอเอสพี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นับเป็นการทำงานเชิงรุกเพื่อให้ปัญหาการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ลดลง" นายพุทธิพงษ์ กล่าว
นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีกฎหมายที่ให้ความสำคัญกับเกี่ยวกับเรื่องการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ หรือทางออนไลน์ คือ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 ซึ่งมีบทบัญญัติที่มีการกำหนดความผิดและกำหนดโทษทางอาญา สำหรับการเผยแพร่ หรือสร้างข่าวปลอมในรูปแบบต่างๆ
โดยเฉพาะในมาตรา 14 มาตร 15 และมาตรา 16 ที่บัญญัติถึงการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ โดยความผิดใน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ตามมาตราดังกล่าวกับความผิดในประมวลกฎหมายอาญาว่าด้วยความผิดลักษณะหมิ่นประมาทคล้ายกัน แต่บังคับใช้กับกรณีที่ต่างกัน
โดยความผิดใน พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ จะครอบคลุมถึงเพียงการใช้ข้อมูลอันเป็นเท็จในการก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชน ไม่รวมไปถึงข้อมูลที่เป็นจริง แต่มีลักษณะเป็นการให้ร้ายบุคคลอื่นแต่อย่างใด ในขณะที่ความผิดฐานหมิ่นประมาทนั้นจะรวมถึงการใช้ข้อมูลที่เป็นความจริงและเท็จอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น
และสำคัญเมื่อส่งผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ต ตามมาตรา 27 ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ที่สั่งตามมาตรา 18 หรือมาตรา 20 หรือไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลตามมาตรา 21 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินสองแสนบาทและปรับเป็นรายวันอีกไม่เกินวันละห้าพันบาทจนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง
"รัฐบาลพยายามที่จะจัดการกับปัญหาการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ในทุกรูปแบบ แม้กระทั่งข่าวปลอมโดยใช้เครื่องมือทางกฎหมาย เพื่อประโยชน์ของประชาชนทุกคน โดยเราจะเน้นไปยังข่าวปลอม เฉพาะที่สร้างความตื่นตระหนกและความเสียหายกับประชาชนในวงกว้าง แต่จะไม่เข้าไปจัดการกับข่าวที่เพียงกระทบต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจง" นายพุทธิพงษ์ กล่าว
ทั้งนี้ เรื่องที่ห้ามทำ ผิดกฎหมาย พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ ประกอบด้วย1.เข้าถึงระบบ หรือข้อมูลของผู้อื่นโดยไม่ชอบ2.แก้ไข ดัดแปลง หรือทำให้ข้อมูลผู้อื่นเสียหาย
3.ส่งข้อมูลหรืออีเมล์ก่อกวนผู้อื่น หรือส่งอีเมลสแปม
4.เข้าถึงระบบ หรือข้อมูลทางด้านความมั่นคงโดยมิชอบ
5.จำหน่ายหรือเผยแพร่ชุดคำสั่งเพื่อนำไปใช้กระทำความผิด
6.ข้อมูลที่ผิด พ.ร.บ. เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์
7.ให้ความร่วมมือ ยินยอม รู้เห็นเป็นใจกับผู้ร่วมกระทำความผิด
8.ตัดต่อเติม หรือดัดแปลงภาพ
9.เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับเยาวชน ต้องกระทำโดยปกปิดไม่ให้ทราบตัวตน
10.เผยแพร่เนื้อหาลามก อนาจาร
11.กดไลก์และแชร์ถือเป็นวิธีหนึ่งในการเผยแพร่ข้อมูล
12.แสดงความคิดเห็นที่ผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ
13.ละเมิดลิขสิทธิ์ นำผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตนเอง
Love Attack เทศกาลความรักแบบนี้ บอกอ้อมๆให้เขารู้กัน
Chocolate Dreams สาวชั่งฝันและช็อคโกแลต กับหนุ่มหล่อ ไม่แน่คุณอาจจะได้เจอแบบนี้ก็ได้
Love You Like Crazy เพลงเพราะๆ ที่ถ้าส่งให้คนที่เรารัก โลกนี้ก็สีชมพูกันทีเดียว