ญาติแท็กทีมให้กำลังใจคนขับรถไถยันไม่เกี่ยวฆ่าเด็ก2ขวบ(คลิป)

จากกรณีที่ ด.ช.ซูลุยผิว (น้องต้าแง) อายุ 2 ขวบ ลูกชายของแรงงานเมียนมา ที่เดินหลงเข้าไปในป่าอ้อย หมู่ 9 ต.สระพังลาน อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี แล้วหายตัวไปตั้งแต่เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 61 ก่อนที่จะสั่งการให้เจ้าหน้าที่จากทุกภาคส่วนระดมกำลังกันออกค้นเป็นเวลานานถึง 9 วัน จนกระทั่งพบร่างของน้องต้าแง นอนเสียชีวิตอยู่ห่างจากจุดที่มีคนเห็นวิ่งเล่นก่อนหายตัว ประมาณ 5 กิโลเมตร โดยจุดที่พบอยู่ใกล้กับร่องน้ำ มีหญ้าขึ้นปกคลุม ล่าสุดครอบครัวไม่เชื่อในผลชันสูตรพลิกศพ จึงส่งร่างของน้องผ่ารอบที่ 3 ที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม นั้น

วันนี้ 27 ธ.ค. 61 ที่บ้านของ นายสมาน วงษ์กัณหา คนขับรถไถ พบว่าวันนี้ทั้งเพื่อนบ้าน ญาติสนิท ต่างเดินทางมาที่บ้านเพื่อให้กำลังใจแก่ นายสมาน หลังถูกกระแสข่าวโจมตีว่ากลายผู้ต้องสงสัยในเหตุการณ์ครั้งนี้

โดย นางจันทร์ทัน จินดาวงษ์ เพื่อนบ้านคนสนิท เผยว่า

วันนี้ตนและเพื่อนบ้านรวมตัวกันเพื่อมาให้กำลังใจนายสมาน เพราะเชื่อมั่นว่าลุงสมานไม่ผิด เพราะเท่าที่ตนรู้จักกันมา นายสมานและครอบครัวไม่เคยมีพฤติกรรมไม่ดี ไม่กินเหล้าเมายา ไม่สูบบุหรี่ ทำตัวดีเป็นผู้นำครอบครัว และมีจิตใจดี ภายหลังจากที่ครอบครัวของน้องต้าแง โดยเฉพาะพ่อแม่น้องต้าแง ออกมาตั้งข้อสงสัยในตัวคนขับรถไถนั้น ตนก็รู้สึกเสียใจแทนนายสมาน เพราะถูกตั้งข้อสงสัย ทั้งที่ไม่ใช่คนผิด และมองว่าความคิดดังกล่าวนี้เหมือนโยนความผิดให้ผู้บริสุทธิ์ ทั้งที่ผลชันสูตรออกมาแล้วแต่อีกฝ่ายกลับไม่เชื่อ

นอกจากนี้ นางจันทร์ทัน เล่าต่อว่า ตนและคนที่มาให้กำลังใจนานสมานในวันนี้ ทุกคนคือผู้ที่ช่วยเหลือและร่วมค้นหาในวันที่เด็กหายตัวไปทั้งหมดรวมถึงนายสมานเองด้วย ตนจึงผิดหวังที่นายสมานถูกกล่าวหาว่าเป็นคนผิด ตนบอกกับนายสมานว่า เมื่อไม่ผิดก็ต้องสู้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะว่าอย่างไร ก็จะต้องยืนยันความบริสุทธิ์ พร้อมฝากบอกครอบครัวชาวเมียนมาด้วยว่า อยากให้มองประเด็นที่น่าสงสัยอื่น ๆ ควรยอมรับผลตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ที่ออกมา และเลิกสงสัยคนขับรถไถได้แล้ว

ในขณะเดียวกัน นายสมาน วงษ์กัณหา คนขับรถไถ เปิดเผยว่า

วันนี้รู้สึกดีใจและสบายใจขึ้น หลังได้มีโอกาสพูดมุมความจริง วิกฤติดังกล่าวทำให้ได้เจอญาติและเพื่อนสนิทมาให้กำลังใจ ทั้งที่หลายคนไม่เจอกันนาน อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อมั่นว่าจะต้องได้รับความยุติธรรม และพร้อมให้ทุกฝ่ายตรวจสอบ

นอกจากนี้ นายสมาน บอกว่า กรณีของเล่นเด็กที่อยู่ภายในบ้านของตนนั้นเป็นเรื่องปกติ เพราะบ้านที่มีเด็กก็ต้องมีของเล่นอยู่แล้ว อย่างบ้านของตนมีลูกสาว 5 ขวบ และลูกชาย 4 ขวบ แต่ของเล่นที่พบในที่เกิดเหตุนั้น ไม่ใช่ของเล่นของลูกตน เพราะตนและไม่เคยเข้าไปพื้นที่เพราะไม่ใช่พื้นที่ของตน ส่วนลูกของตนก็ไม่เคยเข้าไปในไร่อ้อย จึงไม่มีความจำเป็นต้องเอาของเล่นไปด้วย

ด้าน นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความ ระบุว่า กรณีพ่อแม่ของเด็กวัยสองขวบออกมาตั้งข้อสงสัยคนขับรถไถ ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของเด็กนั้น เป็นสิ่งที่สามารถตั้งข้อสงสัยได้ แต่หากสงสัยแล้วก็จะต้องไปบอกตำรวจให้หาพยานหลักฐานว่าใช่คนร้ายหรือไม่ รวมถึงการสงสัยจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของการสงสัยโดยสุจริต และมีหลักฐานพอสมควร ซึ่งหากสงสัยโดยมีพยานหลักฐานไม่ชัดเจน แล้วไปให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชลซึ่งต้องมีการตีพิมพ์ ถ่ายทอดออกอากาศ หากการสงสัยไม่สุจริต ไม่มีพยานหลักฐานแล้ว อาจทำให้ผู้ถูกกล่าวหาตกเป็นจำเลยของสังคม การกระทำแบบนี้ก็อาจถูกดำเนินคดีได้

ทนายเดชา กล่าวต่อว่า ตนอยากให้ลองสังเกตว่าสมัยนี้ชอบมีพวกมโน หลักฐานอะไรก็ไม่มี แต่กลับไปกล่าวหาคนอื่น หากมโนแล้วไม่มีพยานหลักฐาน ก็ต้องไปแจ้งทางตำรวจ ไม่ใช่มาบอกกับสื่อมวลชน

สำหรับการดำเนินคดีกับผู้กล่าวหา แม้จะเป็นชาวต่างชาติ แต่ในเมื่อเขาอยู่ในประเทศไทย แล้วความผิดเกิดที่ประเทศไทย ผู้ถูกกล่าวหาก็สามารถแจ้งความดำเนินคดีได้ ส่วนพ่อแม่ของเด็ก ตนขอแนะนำว่าหากสงสัยอะไรก็ตาม ควรไปแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ช่วยสืบหาข้อมูล ไม่ใช่บอกผู้สื่อข่าวหรือแถลงข่าวปรักปรำคนอื่น ซึ่งตนคิดว่าไม่ใช่เขาไม่รู้ข้อกฎหมาย แต่คาดว่าคงต้องการให้คดีนี้เป็นข่าว ให้คนสนใจ ซึ่งการใช้สิทธิ์ตรงนี้ควรเป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ อย่าใช้สิทธิ์เกินส่วน ทุกวันนี้มีพวกมโนออกมาเยอะ ซึ่งเกิดความเสี่ยงแล้วยังสร้างความเครียดให้กับผู้ถูกกล่าวหาอีกด้วย