ดิ้นไม่หลุด! ตร.ไม่หวั่น ‘พันศักดิ์’ ปฏิเสธสังหารเจ้าของปั๊ม!!

ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม ว่า ภายหลัง พ.ต.อ.จิรภพ ภูริเดช รักษาการ ผบก.ป. ได้สอบสวน นายพันศักดิ์ มงคลศิลป์ อายุ 62 ปี อดีตตำรวจยศ พ.ต.ท. อดีตนักสืบที่พัวพันคดีฆ่าสองแม่ลูกตระกูลศรีธนะขัณฑ์และนางธนพร สุขโขจัย อายุ 50 ปี ภรรยานายพันศักดิ์ ผู้ต้องหาตามหายจับ ที่ก่อเหตุฆ่า นายประชา วรทัด อายุ 52 ปี เจ้าของปั๊มน้ำมันศรีสุวรรณรุ่งเรือง ถนนเทศบาล 6 อ.เมืองสระแก้ว และนางปาริดา วรทัด อายุ 50 ปี ภรรยาบาดเจ็บสาหัส เมื่อวันที่ 30 กันยายนที่ผ่านมา โดยจับได้ขณะกบดานอยู่ในบ้านพัก อ.ปลวกแดง จ.ระยอง นั้น

พบว่าผู้ต้องหากระทำความผิดอย่างโชกโชน ตั้งแต่คดีอุ้มฆ่า 2 แม่ลูกศรีธนะขัณฑ์ และคดีฆ่าเสี่ยอ้วนตลาดโรงเกลือเมื่อปี 2558 และล่าสุด คดีบุกยิง นายประชา วรทัด อายุ 52 ปี เจ้าของปั้มน้ำมันในจ.สระแก้ว เสียชีวิตคาที่ และยิงนางปาลิดา ภรรยา บาดเจ็บสาหัส โดยทางบก.ป. ได้ติดตามไล่ล่าตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงปัจจุบัน ตามหาในหลายจังหวัด จนสามารถจับกุมนายพันศักดิ์ พร้อม นางธนพร ภรรยา ได้ที่รีสอร์ทแห่งหนึ่ง ในอ.ปลวกแดง จ.ระยอง เบื้องต้น จากการสอบปากคำ นายพันศักดิ์ รับสารภาพเพียงว่า เป็นบุคคลรับงานจัดหาอาวุธปืน ส่งให้กับบุคคลอีก 2 คน เท่านั้น แต่ปฏิเสธว่าไม่ใช่คนลงมือยิง ส่วนผู้ว่าจ้าง คือ นายดำรงค์ฤทธิ์ กิตติวราภรณ์ หรือ เสี่ยท้ง เจ้าของปั๊มน้ำมันในจ.สระแก้ว ซึ่งเป็นคนที่ได้ฆ่าตัวตายไปแล้ว ที่อ.ลืออำนาจ จ.อำนาจเจริญ โดยมีค่าจ้างในการทำงานเป็นเงินหลักแสนบาท ส่วนสาเหตุนั้น ตนไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เนื่องจากเป็นข้อมูลในสำนวนคดี

รายงานข่าวแจ้งว่า แม้ว่านายพันศักดิ์ และภรรยา สองผู้ต้องหาจะให้การปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้ลงมือก่อเหตุ นั้นแต่จากการสอบถามนางปาลิตา วรทัด อายุ 49 ปี ภรรยา เจ้าของปั้มผู้รอดชีวิตนั้นยังคงยืนยันว่านายพันศักดิ์ เป็นผู้ลงมือก่อเหตุ เพราะสามารถจดจำใบหน้าของคนร้ายได้เป็นอย่างดี เนื่องจากก่อนเกิดเหตุนายพันศักดิ์ ได้มีการขับรถเข้ามาตระเวนดูลาดเลาที่เกิดเหตุก่อน โดยทำทีเข้ามาเติมน้ำมัน ก่อนจะเข้ามาทำทีพูดคุยกับผู้บาดเจ็บ จากนั้นจึงขับรถออกไป กระทั่งให้หลังไม่นานนายพันศักดิ์ ก็ได้ย้อนกลับมาที่เกิดเหตุอีกครั้งก่อนจะลงมือก่อเหตุดังกล่าว ส่วนการที่นางปาลิตาจดจำใบหน้าของนายพันศักดิ์ได้ดีนั้นเนื่องจากเคยพบเจอนายพันศักดิ์ในช่วงสมัยที่ตัวนางปาลิตาเองนั้นยังทำงานให้กับนายดำรงฤทธิ์เมื่อหลายปีก่อน ซึ่งคำให้การของนางปาลิตานั้นค่อนข้างสอดคล้องกับหลักฐานที่ทำให้เชื่อได้ว่านายพันศักดิ์ คือคนร้ายที่ลงมือก่อเหตุจริงจนมีการออกหมายจับดังกล่าว

นอกจากนี้จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินของผู้ต้องหาทั้งสองคน ที่พบว่านอกจากนายดำรงค์ฤทธิ์ กิตติวราภรณ์ หรือ เสี่ยท้ง เจ้าของปั๊มเก่า ที่ฆ่าตัวตายหนีคดีไปก่อนหน้านี้ได้มีการโอนเงินจำนวนประมาณ1แสนกว่าบาทให้กับนายพันศักดิ์ เพื่อเป็นค่าจ้างในการก่อเหตุแล้วนั้น จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินอย่างละเอียดยังพบว่าในช่วงเวลาไล่เลี่ยก่อนที่จะเกิดเหตุยังมีบุคคลอีกบุคคลหนึ่งโอนเงินให้กับนางธนพรในจำนวนเงิน 120,000 บาท ซึ่งในส่วนนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผลว่าบุคคลดังกล่าวนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าวด้วยหรือไม่

ภายหลังจากที่นายพันศักดิ์ ได้รับเงินจากนายดำรงฤทธิ์ แล้วก็ได้มีการแบ่งเงินจำนวนหนึ่งไปทำการไถ่ถอนปืนของตนเองออกจากโรงรับจำนำเพื่อนำไปใช้ก่อเหตุ นอกจากนี้ในช่วงที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบฯเข้าทำการจับกุมตัวนั้น ได้มีการกระจายกำลังเข้าปิดล้อมพื้นที่อย่างรัดกุม เนื่องจากผู้ต้องหานั้นเคยก่อคดีอุกฉกรรจ์มาหลายคดี ซึ่งช่วงระหว่างที่เข้าทำการปิดล้อมผู้ต้องหาทั้งสองคนยังไม่ยินยอมให้เจ้าหน้าที่เข้าจับกุมโดยง่ายจนมีการเจรจาไกล่เกลี่ยกันนานร่วม 10 นาที ผู้ต้องหาทั้งสองคนจึงยอมให้เจ้าหน้าที่เข้าทำการจับกุมตัวได้โดยละม่อม นอกจากนี้จากการตรวจค้นภายในห้องพักเจ้าหน้าที่ยังตรวจพบปืนออโตเมติกขนาด .380 จำนวน 1 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนขนาดเดียวกันจำนวน 11 นัด ถูกซุกซ่อนอยู่ภายในห้องน้ำของห้องพักที่ผู้ต้องหาซ่อนตัว

เบื้องต้นคาดว่าน่าจะเป็นปืนกระบอกเดียวกันกับที่ใช้ในการก่อเหตุ จึงได้ทำการยึดไว้เป็นหลักฐาน