ตร.ฟันข้อหาเพิ่ม! ‘โกรัตน์’ ขู่ฆ่ายกครัว แฉพฤติกรรมสุดโหด! ก่อน7ชีวิตหนีตาย
หน้าแรกTeeNee ที่นี่ข่าววันนี้, ข่าวหน้าหนึ่ง ข่าวอาชญากรรม ตร.ฟันข้อหาเพิ่ม! ‘โกรัตน์’ ขู่ฆ่ายกครัว แฉพฤติกรรมสุดโหด! ก่อน7ชีวิตหนีตาย
ตร. แจ้งข้อหาพยายามฆ่าเพิ่ม ‘โกรัตน์' นักธุรกิจส่งออกส้มโอรายใหญ่ ปมขู่ฆ่ายกครัว 7 ชีวิต ทำร้ายร่างกายเมีย ก่อนครอบครัวสบโอกาสพากันเผ่นหนีมาร้อง ผวจ.ตรัง ก่อนนำตัวทั้งหมดไปพักอาศัยอยู่ภายในค่ายทหาร เพื่อความปลอดภัย แฉถูกซ้อมนานหลายปี เคยใช้ปืนจ่อยิงหัวแต่กระสุนด้าน
จากกรณีครอบครัวของ นายวิรัตน์ สุขแสง หรือ "โกรัตน์" อายุ 48 ปี ประกอบด้วยภรรยา ลูก พ่อตา ซึ่งเป็นนักธุรกิจส่งออกส้มโอพันธุ์ทับทิมสยาม ส้มโอชื่อดังของนครราชศรีธรรมราช และหลาน รวม 7 ชีวิต หนีตายจากจังหวัดนครศรีธรรมราชเข้าไปขอความช่วยเหลือจาก ผวจ.ตรัง หลังถูกนายวิรัตน์ ซ้อมแล้วใช้อาวุธปืนขู่ฆ่ายกครัว กระทั่งตำรวจได้มีการแจ้งข้อกล่าวหา นายวิรัตน์ในข้อหาครอบครองอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต พกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต และทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ
โกรัตน์ / ล่าสุดเมื่อวันที่ 25 ส.ค. ที่ร.15 พัน 4 ค่ายพระยารัษฎานุประดิษฐ์ อ.ห้วยยอด จ.ตรัง พล.ต.ต.วันไชย เอกภรพิชญ์ ผบก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช พร้อมด้วย พ.ต.อ.วสันต์ พวงน้อย ผกก.สภ.ปากพนัง เดินทางเข้าเจรจากับครอบครัว 7 ชีวิต นำโดย นายสำเร็จ กุลคง อายุ 79 ปี ชาว อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช นักธุรกิจส่งออกส้มโอพันธ์ทับทิมสยาม ส้มโอชื่อดังของนครศรีธรรมราช ที่ต้องหลบหนีการถูกตามขู่ฆ่ายกครัวจาก นายวิรัตน์ ซึ่งเป็นลูกเขยในครอบครัวแท้ๆ โดยมีนางกมลทิพย์ กุลคง ภรรยาของนายวิรัตน์ พร้อมด้วยพี่สาว ที่หลบหนีมาด้วยกัน เป็นคนออกมาเจรจากับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
จากกรณีครอบครัวของ นายวิรัตน์ สุขแสง หรือ "โกรัตน์" อายุ 48 ปี ประกอบด้วยภรรยา ลูก พ่อตา ซึ่งเป็นนักธุรกิจส่งออกส้มโอพันธุ์ทับทิมสยาม ส้มโอชื่อดังของนครราชศรีธรรมราช และหลาน รวม 7 ชีวิต หนีตายจากจังหวัดนครศรีธรรมราชเข้าไปขอความช่วยเหลือจาก ผวจ.ตรัง หลังถูกนายวิรัตน์ ซ้อมแล้วใช้อาวุธปืนขู่ฆ่ายกครัว กระทั่งตำรวจได้มีการแจ้งข้อกล่าวหา นายวิรัตน์ในข้อหาครอบครองอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต พกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต และทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ
โกรัตน์ / ล่าสุดเมื่อวันที่ 25 ส.ค. ที่ร.15 พัน 4 ค่ายพระยารัษฎานุประดิษฐ์ อ.ห้วยยอด จ.ตรัง พล.ต.ต.วันไชย เอกภรพิชญ์ ผบก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช พร้อมด้วย พ.ต.อ.วสันต์ พวงน้อย ผกก.สภ.ปากพนัง เดินทางเข้าเจรจากับครอบครัว 7 ชีวิต นำโดย นายสำเร็จ กุลคง อายุ 79 ปี ชาว อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช นักธุรกิจส่งออกส้มโอพันธ์ทับทิมสยาม ส้มโอชื่อดังของนครศรีธรรมราช ที่ต้องหลบหนีการถูกตามขู่ฆ่ายกครัวจาก นายวิรัตน์ ซึ่งเป็นลูกเขยในครอบครัวแท้ๆ โดยมีนางกมลทิพย์ กุลคง ภรรยาของนายวิรัตน์ พร้อมด้วยพี่สาว ที่หลบหนีมาด้วยกัน เป็นคนออกมาเจรจากับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
นอกจากนี้ ยังมี พ.อ.พีรพงศ์ วัลลภาทิตย์ ผบ.ร.15 พัน 4 ค่ายพระยารัษฎานุประดิษฐ์ จ.ตรัง พร้อมด้วย พ.อ.สุริยา ช่วยบำรุง ตัวแทนจาก กอ.รมน.จ.ตรัง, นายณัฐวุฒิ สังข์สุข ป้องกัน จ.ตรัง และ ร.อ.นิพนธ์ สุขศรีราช หัวหน้าชุดรักษาความสงบ ร.15 พัน 4 เข้าร่วมรับฟังด้วย
พล.ต.ต.วันไชย กล่าวว่า นายวิรัตน์ติดยาเสพติดอย่างรุนแรง พร้อมยืนยันปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาความขัดแย้งในครอบครัว และเบื้องต้นทางผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความในข้อหาทำร้ายร่างกายเท่านั้น ซึ่งทาง สภ.ปากพนังจะดำเนินการไปตามกรอบอำนาจ พร้อมให้ส่งพนักงานสอบสวน และนักจิตวิทยา มาร่วมสอบปากคำทั้ง 7 ชีวิต และทำสำนวนเพิ่มเติม ด้วยการเพิ่มข้อหาพยายามฆ่าเข้าไปด้วย จากเดิมที่ตั้งข้อหาแค่ครอบครองอาวุธปืน และทำร้ายร่างกาย
พล.ต.ต.วันไชย กล่าวต่อว่า โดยรับปากจะเร่งจับกุมผู้ต้องหาให้ได้โดยเร็วที่สุด แต่ตอนนี้ทราบว่าปิดโทรศัพท์มือถือหลบหนีไปแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถตรวจเช็คได้ ไม่มีปัญหา ล่าสุดผู้ต้องหามีการติดต่อมายัง ผกก.สภ.ปากพนัง ว่าจะมอบตัว แต่ก็ยังไม่มา ซึ่งขณะนี้ได้ตั้งชุดติดตามอยู่แล้ว ส่วนกรณีที่จะให้ทั้ง 7 ชีวิต ไปพักอาศัยอยู่ภายในมณฑลทหารบกที่ 41 หรือกก.ภ.จว.นครศรีธรรมราชหรือไม่ เพื่อความปลอดภัยนั้น ขอให้เป็นเรื่องของฝ่ายผู้เสียหายที่จะตัดสินใจ ด้วยความสมัครใจ และสบายใจ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมจะดำเนินการให้เต็มที่
สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าว สืบเนื่องจากกรณีที่ นายสำเร็จ พร้อมครอบครัว ซึ่งประกอบด้วย ภรรยา ลูกสาวอีก 2 คน และหลานชาย วัย 15 ปี และหลานสาวฝาแฝด วัย 10 ปี รวม 7 ชีวิต ต้องหลบหนีตายอย่างหัวซุกหัวซุนข้ามจังหวัด จาก จ.นครศรีธรรมราช มุ่งหน้ามาขอความช่วยเหลือจาก นายศิริพัฒ พัฒกุล ผวจ.ตรัง หลังถูกนายวิรัตน์ซึ่งเป็นลูกเขย และสามีของนางกมลทิพย์ และเป็นพ่อของลูกชาย และลูกสาวฝาแฝดทั้ง 3 คน และมีตำแหน่งเป็นคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ (กต.ตร.) สภ.ปากพนัง
พล.ต.ต.วันไชย กล่าวว่า นายวิรัตน์ติดยาเสพติดอย่างรุนแรง พร้อมยืนยันปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาความขัดแย้งในครอบครัว และเบื้องต้นทางผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความในข้อหาทำร้ายร่างกายเท่านั้น ซึ่งทาง สภ.ปากพนังจะดำเนินการไปตามกรอบอำนาจ พร้อมให้ส่งพนักงานสอบสวน และนักจิตวิทยา มาร่วมสอบปากคำทั้ง 7 ชีวิต และทำสำนวนเพิ่มเติม ด้วยการเพิ่มข้อหาพยายามฆ่าเข้าไปด้วย จากเดิมที่ตั้งข้อหาแค่ครอบครองอาวุธปืน และทำร้ายร่างกาย
พล.ต.ต.วันไชย กล่าวต่อว่า โดยรับปากจะเร่งจับกุมผู้ต้องหาให้ได้โดยเร็วที่สุด แต่ตอนนี้ทราบว่าปิดโทรศัพท์มือถือหลบหนีไปแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถตรวจเช็คได้ ไม่มีปัญหา ล่าสุดผู้ต้องหามีการติดต่อมายัง ผกก.สภ.ปากพนัง ว่าจะมอบตัว แต่ก็ยังไม่มา ซึ่งขณะนี้ได้ตั้งชุดติดตามอยู่แล้ว ส่วนกรณีที่จะให้ทั้ง 7 ชีวิต ไปพักอาศัยอยู่ภายในมณฑลทหารบกที่ 41 หรือกก.ภ.จว.นครศรีธรรมราชหรือไม่ เพื่อความปลอดภัยนั้น ขอให้เป็นเรื่องของฝ่ายผู้เสียหายที่จะตัดสินใจ ด้วยความสมัครใจ และสบายใจ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมจะดำเนินการให้เต็มที่
สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าว สืบเนื่องจากกรณีที่ นายสำเร็จ พร้อมครอบครัว ซึ่งประกอบด้วย ภรรยา ลูกสาวอีก 2 คน และหลานชาย วัย 15 ปี และหลานสาวฝาแฝด วัย 10 ปี รวม 7 ชีวิต ต้องหลบหนีตายอย่างหัวซุกหัวซุนข้ามจังหวัด จาก จ.นครศรีธรรมราช มุ่งหน้ามาขอความช่วยเหลือจาก นายศิริพัฒ พัฒกุล ผวจ.ตรัง หลังถูกนายวิรัตน์ซึ่งเป็นลูกเขย และสามีของนางกมลทิพย์ และเป็นพ่อของลูกชาย และลูกสาวฝาแฝดทั้ง 3 คน และมีตำแหน่งเป็นคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ (กต.ตร.) สภ.ปากพนัง
ได้ลงมือทำร้ายร่างกาย ทั้งตบตีภรรยา และจ่อยิง แต่กระสุนปืนด้าน พร้อมข่มขู่ฆ่าลูก พ่อตา แม่ยาย และทุกคนให้ตายยกครัวมายาวนานหลายปี สาเหตุเพราะติดยาเสพติดอย่างรุนแรงมายาวนาน จนเกิดอาการหลอน และหวาดระแวง จนสั่งห้ามไม่ให้ทุกคนในครอบครัวออกไปธุระนอกบ้านหากไม่จำเป็น แม้กระทั่งไม่ให้เด็กๆ ไปเรียนพิเศษ
โดยเฉพาะเหตุการณ์ล่าสุด เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 14 ส.ค.ที่ผ่านมา นายวิรัตน์ได้ลากตัว นางกมลทิพย์ขึ้นรถกลับบ้าน ระหว่างที่ภรรยาออกไปรับลูกที่โรงเรียน จากนั้นได้ใช้ปืนตบตี และจ่อศีรษะลากตัวกลับมาทำร้ายร่างกายภายในบ้าน รวมทั้งใช้มีดจี้ที่บริเวณคอจนบาดเจ็บสาหัส แต่โชคดีที่นายวิรัตน์รีบออกไปทำธุระนอกบ้าน หลังจากได้รับโทรศัพท์ พร้อมกับข่มขู่ก่อนออกจากบ้านว่า กลับมาจะยิงทิ้งทั้งครอบครัว แต่รอให้ลูกๆ กลับมาพร้อมหน้ากันก่อน
จากนั้นทุกคนในครอบครัว นำโดย นายสำเร็จก็ได้อาศัยจังหวะดังกล่าว รีบพาทุกคนในครอบครัวหนีออกจากบ้านด้วยเสื้อผ้าชุดเดียว ขณะที่เด็กๆ ก็หนีออกมาทั้งชุดนักเรียน จากนั้น ได้พานางกมลทิพย์ไปตรวจร่างกาย พบว่าบริเวณใบหน้าบาดเจ็บอย่างหนัก ก่อนเข้าแจ้งความดำเนินคดีไว้ที่ สภ.ปากพนัง หลังจากนั้น ทั้ง 7 ชีวิต ก็พากันหลบหนีกันไปเรื่อยๆ โดยที่เด็กๆ ต้องขาดเรียนมาแล้วนับสัปดาห์ ขณะที่ นายวิรัตน์ พร้อมพวก ก็ได้พยายามติดตามไล่ล่า และส่งข้อความหาลูกๆ เป็นระยะๆ ว่าจะฆ่าทิ้งให้หมด จนกระทั่งทุกคนต้องหนีเข้ามาขอความช่วยเหลือจาก ผวจ.ตรัง ดังกล่าว
โดยเฉพาะเหตุการณ์ล่าสุด เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 14 ส.ค.ที่ผ่านมา นายวิรัตน์ได้ลากตัว นางกมลทิพย์ขึ้นรถกลับบ้าน ระหว่างที่ภรรยาออกไปรับลูกที่โรงเรียน จากนั้นได้ใช้ปืนตบตี และจ่อศีรษะลากตัวกลับมาทำร้ายร่างกายภายในบ้าน รวมทั้งใช้มีดจี้ที่บริเวณคอจนบาดเจ็บสาหัส แต่โชคดีที่นายวิรัตน์รีบออกไปทำธุระนอกบ้าน หลังจากได้รับโทรศัพท์ พร้อมกับข่มขู่ก่อนออกจากบ้านว่า กลับมาจะยิงทิ้งทั้งครอบครัว แต่รอให้ลูกๆ กลับมาพร้อมหน้ากันก่อน
จากนั้นทุกคนในครอบครัว นำโดย นายสำเร็จก็ได้อาศัยจังหวะดังกล่าว รีบพาทุกคนในครอบครัวหนีออกจากบ้านด้วยเสื้อผ้าชุดเดียว ขณะที่เด็กๆ ก็หนีออกมาทั้งชุดนักเรียน จากนั้น ได้พานางกมลทิพย์ไปตรวจร่างกาย พบว่าบริเวณใบหน้าบาดเจ็บอย่างหนัก ก่อนเข้าแจ้งความดำเนินคดีไว้ที่ สภ.ปากพนัง หลังจากนั้น ทั้ง 7 ชีวิต ก็พากันหลบหนีกันไปเรื่อยๆ โดยที่เด็กๆ ต้องขาดเรียนมาแล้วนับสัปดาห์ ขณะที่ นายวิรัตน์ พร้อมพวก ก็ได้พยายามติดตามไล่ล่า และส่งข้อความหาลูกๆ เป็นระยะๆ ว่าจะฆ่าทิ้งให้หมด จนกระทั่งทุกคนต้องหนีเข้ามาขอความช่วยเหลือจาก ผวจ.ตรัง ดังกล่าว
" ประกาศ "
ร่วมแสดงความคิดเห็น