จับหนุ่มมือดี ใช้ชื่อ-รูป นายกฯ เปิดซิม 55 หมายเลข
หน้าแรกTeeNee ที่นี่ข่าววันนี้, ข่าวหน้าหนึ่ง ข่าวอาชญากรรม จับหนุ่มมือดี ใช้ชื่อ-รูป นายกฯ เปิดซิม 55 หมายเลข
อท.จับหนุ่มมือดี ใช้ชื่อ-รูป "นายกฯ" เปิดซิม 55 หมายเลขขายชาวต่างชาติ ตร.แจงยังไม่พบใครนำซิมการ์ดไปก่อการร้าย-หวังผลทางการเมืองที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.)เมื่อเวลา 16.00 น.วันที่ 12 กรกฎาคม พล.ต.ต.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบก.ปอท. พ.ต.อ.ธนดล แก้วอุบล รอง ผบก. รฟ. ช่วยราชการ รอง ผบก.ปอท. และ ว่าที่ พ.ต.อ.วิระชาญ ขุนไชยแก้ว ผกก.1 บก.ปอท. ร่วมกันแถลงผลการจับกุมนายพีระเมศร์ วงศ์ทองเกื้อ อายุ 31 ปี ผู้ต้องหาลงทะเบียนซิมโดยใช้ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 1382/2561 ลงวันที่ 22มิ.ย.61 พร้อมด้วยของกลาง คือ คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะไม่มียี่ห้อสีดำ จำนวน 1 เครื่อง,โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อโมโตโรล่า สีดำ จำนวน1เครื่อง, ซิมการ์ด เครือข่ายทรูมูฟ จำนวน 12 ซิม, เราท์เตอร์ ยี่ห้อหัวเหว่ย สีขาว 1 เครื่อง และ ซิมการ์ด เครือข่ายทรูมูฟ จำนวน 12 ซิม
พล.ต.ต.วรวัฒน์ กล่าวว่า ตำรวจ ปอท.ได้รับแจ้งจากบริษัท เรียล มูฟ จำกัด ผู้ให้บริการเครือข่ายทรูมูฟว่าตรวจสอบพบความผิดปกติในการลงทะเบียนซิมโทรศัพท์มือถือประเภทเติมเงิน โดยพบว่าในช่วงเดือน มี.ค.-พ.ค.61 มีการลงทะเบียนซิมโทรศัพท์โดยใช้รูปภาพบัตรประชาชนและรูปหน้าตรง ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จำนวน 55 หมายเลข ซึ่งอาจมีการนำหมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าวไปใช้ในการกระทำความผิดอื่นๆได้ ทาง กก.1 บก.ปอท.
จึงได้ทำการประสานข้อมูลไปยัง กสทช. และผู้ให้บริการเครือข่าย และได้สืบสวนจนทราบรายละเอียดว่ามีการลงทะเบียนซิมโทรศัพท์จำนวน 55หมายเลข ผ่านรหัส ตัวแทนจำหน่าย (Dealer) ของบริษัท เรียล มูฟ จำนวน 3 รหัส ซึ่งเป็นของ นายพีระเมศร์ วงศ์ทองเกื้อ 1 รหัส และของตัวแทนจำหน่ายรายอื่นอีก 2รหัส แต่จากการตรวจสอบหมายเลขที่ใช้ในการลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน พบว่าจาก 55 หมายเลข มีจำนวน 53 หมายเลขที่ลงทะเบียนจากโทรศัพท์มือถือของนายพีระเมศร์
ภายในร้านโทรศัพท์ชาน โมบาย ตั้งอยู่ที่ ห้างดิอเวนิว พัทยาใต้ ซึ่งมีนายพีระเมศร์ เป็นเจ้าของ ส่วนอีก 2 หมายเลขไม่สามารถตรวจสอบได้ จึงน่าเชื่อว่า
พล.ต.ต.วรวัฒน์ กล่าวว่า ตำรวจ ปอท.ได้รับแจ้งจากบริษัท เรียล มูฟ จำกัด ผู้ให้บริการเครือข่ายทรูมูฟว่าตรวจสอบพบความผิดปกติในการลงทะเบียนซิมโทรศัพท์มือถือประเภทเติมเงิน โดยพบว่าในช่วงเดือน มี.ค.-พ.ค.61 มีการลงทะเบียนซิมโทรศัพท์โดยใช้รูปภาพบัตรประชาชนและรูปหน้าตรง ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จำนวน 55 หมายเลข ซึ่งอาจมีการนำหมายเลขโทรศัพท์ดังกล่าวไปใช้ในการกระทำความผิดอื่นๆได้ ทาง กก.1 บก.ปอท.
จึงได้ทำการประสานข้อมูลไปยัง กสทช. และผู้ให้บริการเครือข่าย และได้สืบสวนจนทราบรายละเอียดว่ามีการลงทะเบียนซิมโทรศัพท์จำนวน 55หมายเลข ผ่านรหัส ตัวแทนจำหน่าย (Dealer) ของบริษัท เรียล มูฟ จำนวน 3 รหัส ซึ่งเป็นของ นายพีระเมศร์ วงศ์ทองเกื้อ 1 รหัส และของตัวแทนจำหน่ายรายอื่นอีก 2รหัส แต่จากการตรวจสอบหมายเลขที่ใช้ในการลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน พบว่าจาก 55 หมายเลข มีจำนวน 53 หมายเลขที่ลงทะเบียนจากโทรศัพท์มือถือของนายพีระเมศร์
ภายในร้านโทรศัพท์ชาน โมบาย ตั้งอยู่ที่ ห้างดิอเวนิว พัทยาใต้ ซึ่งมีนายพีระเมศร์ เป็นเจ้าของ ส่วนอีก 2 หมายเลขไม่สามารถตรวจสอบได้ จึงน่าเชื่อว่า
นายพีระเมศร์ เป็นผู้ลงทะเบียนซิมโทรศัพท์มือถือโดยใช้ ยูสเซอร์เนม (Username) และ พาสเวิร์ด (Password) ของตัวแทนจำหน่ายรายอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงได้ทำการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติศาลอาญาออกหมายจับ และศาลได้อนุมัติตามหมายจับศาลอาญาที่ 1382/2561 ลงวันที่ 22 มิ.ย.61
ต่อมาวันที่ 11 ก.ค. เวลา16.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปอท. และ บก.ป. จึงได้เดินทางไปที่ร้านชาน โมบาย ในห้างดังในเมืองพัทยา เมื่อไปถึงบริเวณหน้าร้านพบนายพีระเมศร์ ยืนอยู่ที่ร้านดังกล่าว พ.ต.ต.วาทิต จิตรจันทึก สว.กก1 บก.ปอท. และ ร.ต.อ.เอนก โชติพรหม รอง สว.กก.1 บก.ปอท. จึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมแสดงหมายจับ
พล.ต.ต.วรวัฒน์ กล่าวต่อว่า จากการสอบปากคำนายพีระเมศร์ เบื้องต้น รับสารภาพว่าเป็นผู้ลงทะเบียนซิมโทรศัพท์จำนวน 55 หมายเลขโดยใช้ชื่อนายกรัฐมนตรีจริง ส่วนสาเหตุที่ใช้รูป พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในการลงทะเบียน เป็นเพราะในตอนแรกที่ตนใช้รูปลูกค้าลงทะเบียนพบว่าลงทะเบียนไม่ได้หลายครั้ง จึงคิดอยากทดลองใช้รูปคนดังในการลงทะเบียนซิมแทนการใช้รูปลูกค้า ส่วนเมื่อลงทะเบียนได้แล้วก็จะนำซิมไปจำหน่ายให้กับลูกค้าซึ่งส่วนมากเป็นชาวต่างชาติ ราคาซิมละ 250บาท ตำรวจแจ้งข้อหา ฐานเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะ และโดยทุจริตหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน ตาม พรบ.คอมพิวเตอร์ และความผิดทางอาญาโดยผู้ต้องหารายนี้จะต้องรับโทษต่างกรรมต่างวาระกระทง 5ปี ซึ่งอาจจะถูกจำคุกสูงสุดถึง 275 ปี
พล.ต.ต.วรวัฒน์ กล่าวระบุด้วยว่า การตรวจสอบจากทาง กสทช. และเจ้าของเครือข่าย ยังไม่พบว่าผู้ต้องหามีการนำซิมการ์ดดังกล่าวไปใช้ก่อการร้ายหรือหวังผลทางการเมือง และนายกรัฐมนตรีบยังกำชับให้ดำเนินเด็ดขาดกับผู้ต้องหารายดังกล่าว และเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อประชาชน
ด้าน นางจิตสถา ศรีประเสริฐสุข ผู้อำนวยการสำนักบริหารและจัดการเลขหมายโทรคมนาคม ( กสทช.) ยอมรับว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดจากแอพลิเคชั่นของ กสทช.ที่เพิ่งถูกนำมาใช้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และอยู่ระหว่างการพัฒนาปรับปรุงเทคโลยี แต่หลังจากนี้ก็จะต้องมีการประชุมกับตัวแทนเครือข่าย และตัวแทนจัดจัดหน่าย เพื่อแก้ไขปัญหาอีกครั้ง
จากกรณีดังกล่าว บก.ปอท. จึงขอแจ้งเตือนประชาชนรวมถึงตัวแทนจำหน่ายของผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ หากนำยูสเซอร์เนม (Username) และ พาสเวิร์ด(Password) ของ ดีลเลอร์(Dealer) รายอื่นไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 5 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ หากตัวแทนจำหน่ายที่ทำการลงทะเบียนซิมโทรศัพท์มือถือให้กับลูกค้า โดยใช้ข้อมูลของบุคคลอื่น การกระทำดังกล่าวอาจเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 14(1)ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ อย่างไรก็ตามพี่น้องประชาชาชนที่มีการนำข้อมูลสำคัญของตนเองไปให้กับผู้อื่น เช่น บัตรประจำตัวประชาชน บัตรเครดิต ต้องพึงระวังไว้เสมอว่า อาจมีผู้ไม่ประสงค์ดีนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ในทางทุจริตได้ จึงไม่ควรเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวให้แก่ บุคคลทั่วไป หรือควรตรวจสอบอย่างใกล้ชิดกรณีต้องให้เอกสารดังกล่าวแก่บุคคลอื่นไปทำธุรกรรมต่างๆเพราะอาจถูกนำข้อมูลส่วนตัวไปใช้อย่างผิดกฎหมาย และจะส่งผลร้ายกลับถึงตัวเจ้าของข้อมูลได้.
หรือทั้งจำทั้งปรับ อย่างไรก็ตามพี่น้องประชาชาชนที่มีการนำข้อมูลสำคัญของตนเองไปให้กับผู้อื่น เช่น บัตรประจำตัวประชาชน บัตรเครดิต ต้องพึงระวังไว้เสมอว่า อาจมีผู้ไม่ประสงค์ดีนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ในทางทุจริตได้ จึงไม่ควรเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวให้แก่ บุคคลทั่วไป หรือควรตรวจสอบอย่างใกล้ชิดกรณีต้องให้เอกสารดังกล่าวแก่บุคคลอื่นไปทำธุรกรรมต่างๆเพราะอาจถูกนำข้อมูลส่วนตัวไปใช้อย่างผิดกฎหมาย และจะส่งผลร้ายกลับถึงตัวเจ้าของข้อมูลได้.
Cr::bangkokbiznews.com
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!" ประกาศ "
ร่วมแสดงความคิดเห็น