เศร้า!! แม่ขอโทษพามาตายแท้ๆ!! น้ำตาท่วม แม่ออกจาก รพ. มาเผาลูกชาย เหยื่อทัวร์มรณะ
ล่าสุดเมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 26 มีนาคม 256 ที่เมรุวัดดงกระยอมอุดมคุณ ต.ห้วยโพธิ์ อ.เมืองกาฬสินธุ์ นายไกรสร กองฉลาด ผวจ.กาฬสินธุ์ เป็นประธานฌาปนกิจศพ นางเรียน ธารวาวแวว อายุ 47 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถทัวร์สายมรณะที่ประสบอุบัติเหตุพลิกคว่ำที่ อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา ทำให้มีผู้เสียชีวิต 18 ศพ โดยบรรยากาศภายในงานเป็นไปด้วยความโศกเศร้า
โดยเฉพาะ นางสาววชิรฎาภรณ์ ธารวาวแวว อายุ 23 ปี และลูกชายอีกหนึ่งคนที่รับราชการตำรวจ ต่างร่ำไห้ด้วยความเสียใจ ไม่คาดคิดว่าแม่จะจากไปเร็วแบบนี้ ซึ่ง นางสาววชิรฎาภรณ์ ได้เดินทางไปกับแม่และลูกชายในทัวร์ครั้งนี้ด้วย แต่ตนและลูกชายรอดชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ โดยบอกว่าต่อจากนี้ไปคงไม่กล้าขึ้นรถทัวร์อีก
จากนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ได้เป็นประธานฌาปนกิจศพ นายวิรุฬห์ ตะก้อง อายุ 26 ปี ผู้เสียชีวิตจากเหตุรถทัวร์มรณะเป็นรายสุดท้าย ที่เมรุวัดชัยสุนทร อ.เมืองกาฬสินธุ์ ท่ามกลางบรรยากาศที่โศกเศร้า โดยมีญาติพี่น้องเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก
ซึ่งนางสนธยา ตะก้อง มารดาของผู้เสียชีวิตที่ได้รับบาดเจ็บจากการเดินทางไปเที่ยวรถทัวร์ด้วยกันก็ได้ออกมาจากโรงพยาบาลเพื่อขอมาส่งลูกชายเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งทางนายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ก็ได้เข้ามาให้กำลังใจมารดาผู้เสียชีวิต
โดยนางสนธยา ได้บอกว่า ตนรู้สึกเสียใจเหมือนพาลูกชายไปตายและขอให้ลูกชายไปสู่สุคติ หากชาติหน้ามีจริงคงได้เกิดมาเป็นแม่ลูกกันใหม่ทั้งนี้นายไกรสร กองฉลาด ผวจ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้จะมีการตรวจสอบรายละเอียดผู้รับสินไหมทดแทนจากประกันภัยรถยนต์ ซึ่งหลักการจะเป็นการจ่ายให้กับทายาทโดยธรรม โดยเฉพาะพ่อแม่ หรือลูกของผู้เสียชีวิตที่ยังมีชีวิตอยู่ หากไม่มีก็จะเรียงลำดับไปตามชั้นของทายาท และชัดเจนว่าจะจ่ายให้กับผู้เสียชีวิตรายละ 650,000 บาท
ขณะที่ พล.ต.ต.มนตรี จรัลพงศ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดกาฬสินธุ์ เปิดเผยว่า ในวันพรุ่งนี้จะมีทีมงานสอบสวนของจังหวัดนครราชสีมา เข้ามาสอบปากคำญาติผู้เสียชีวิตทั้ง 18 คน รวมไปถึงผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้ ซึ่งในส่วนของค่าความเสียหายในการเรียกร้องเป็นเรื่องของคดีแพ่ง แต่ในส่วนของอาญา ทั้งคนขับรถ และผู้ประกอบการ ก็จะต้องถูกดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมาย
ด้านพระราชศีลโสภิต หรือหลวงปู่หนูอินทร์ เจ้าอาวาสวัดป่าพุทธมงคล เกจิชื่อดังภาคอีสาน กล่าวว่า การเผาแบบกองฟอนนั้นหายไปนานแล้ว เพราะความเจริญแต่ในอดีตก็จะเผากันแบบนี้ แต่ทุกวันนี้มีเมรุเผาศพ ก็เลยไม่ต้องเผากองฟอน ซึ่งในกรณีดังกล่าวก็เนื่องจากเมรุที่จะเผาไม่พอ จึงได้ตัดสินใจเผากลางแจ้ง แต่ในครั้งโบราณกาลตามความเชื่อจริงๆ นั้น คนที่ตายโหงหรือผีตายโหง ที่ตายผิดปกตินั้น จะไม่นิยมเอาเข้าบ้าน แต่จะเอามาไว้ที่วัด เพราะถือว่าเป็นผีที่เฮี้ยนและแข็ง
การเผาพร้อมกันนอกจากจะเป็นความสะดวกแล้ว ก็ยังเป็นการแก้เคล็ดตามความเชื่อของคนโบราณ โดยเฉพาะเหตุผลของการไม่ให้เก็บกระดูกนั้น จริงๆ แล้วเพราะเกรงว่ามีความร้อนในกองฟอน จึงต้องใช้เวลาให้เพลิงที่เผาเถ้ากระดูกสงบก่อน อีกทั้งก็เป็นกุศโลบายของคนโบราณ เพื่อให้เวลาแก่ญาติผู้เสียชีวิตได้ทำใจ มีความเข้มแข็งที่จะอยู่ต่อไปด้วย.
Cr:::kazipth