มาดูสรุปแล้วคดีกราบรถกู น็อต ต้องเจอโทษอะไร?!
หน้าแรกTeeNee ที่นี่ข่าววันนี้, ข่าวหน้าหนึ่ง ข่าวอาชญากรรม มาดูสรุปแล้วคดีกราบรถกู น็อต ต้องเจอโทษอะไร?!
อัยการยื่นอุทธรณ์ขอไม่รอลงอาญา "น็อต กราบรถ" ขณะศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น สั่งคุก 1 ปี รอลงอาญา 2 ปี ด้านเจ้าตัวโพสต์ไอจีขอบคุณทุกคนที่คอยช่วยเหลือ
วันที่ 13 ก.พ. 61 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ถนนเจริญกรุง ศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีที่พนักงานอัยการคดีอาญากรุงเทพใต้ 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายอัครณัฐ หรือ นายธีร์ อริยฤทธิ์วิกุล หรือ "น็อต กราบรถ" อายุ 30 ปี อดีตพิธีกรและนักแสดง กับ นายวิทวัส ศรีบัณฑิตมงคล เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส และร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น และกระทำการอันเป็นการรังแก หรือข่มเหงผู้อื่นให้ได้รับความอับอาย
โดยคำฟ้องอัยการสรุปว่า เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 59 จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้กำลังประทุษร้าย ดึงกระชากคอเสื้อของนายกิตติศักดิ์ หรือบอย สิงห์โต อายุ 27 ปี พนักงานคัดกรองเอกสาร สำนักงานสรรพากรพื้นที่ตลิ่งชัน ผู้เสียหาย คู่กรณีขี่รถจักรยานยนต์จากที่นั่งอยู่บนรถจักรยานยนต์ มาอีกฝั่งหนึ่งของถนนบริเวณปาก ซ.เจริญกรุง 44 แขวง-เขตบางรัก ที่มีรถยนต์ยี่ห้อ "มินิ" ของนายอัครณัฐ จำเลยที่ 1 จอดอยู่ แล้วใช้ฝ่ามือตบที่ใบหน้าของผู้เสียหาย 2 ครั้ง และต่อยที่บริเวณใบหน้าอีก 1 ครั้ง ทำให้กระดูกจมูกชิ้นใหญ่จำนวน 4 ชิ้นหัก และกระดูกจมูกชิ้นเล็กอีกจำนวนหลายชิ้นหัก รวมทั้งมีบาดแผลฟกช้ำบริเวณเบ้าตาทั้งสองข้าง และแก้มด้านซ้ายบวม ซึ่งเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส หลังจากนั้น จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันข่มขืนใจผู้เสียหายให้กราบรถยนต์ของนายอัครณัฐ จนทำให้ผู้เสียหายต้องจำยอมกราบรถจำเลยที่ 1 โดยไม่ได้สมัครใจ ซึ่งเป็นการรังแกหรือข่มเหงผู้เสียหายให้ได้รับความอับอาย จนกลายเป็นวลีดัง "กราบรถกู" ทั้งนี้ นายอัครณัฐ กับพวก ให้การรับสารภาพ พร้อมกับยอมชดใช้ค่าเสียหายให้กับคู่กรณีเป็นเงิน 1.8 แสนบาท โดย นายนายธีร์ เดินทางมาที่ศาลพร้อมด้วยญาติและทนายความ
วันที่ 13 ก.พ. 61 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ถนนเจริญกรุง ศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีที่พนักงานอัยการคดีอาญากรุงเทพใต้ 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายอัครณัฐ หรือ นายธีร์ อริยฤทธิ์วิกุล หรือ "น็อต กราบรถ" อายุ 30 ปี อดีตพิธีกรและนักแสดง กับ นายวิทวัส ศรีบัณฑิตมงคล เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส และร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น และกระทำการอันเป็นการรังแก หรือข่มเหงผู้อื่นให้ได้รับความอับอาย
โดยคำฟ้องอัยการสรุปว่า เมื่อวันที่ 4 พ.ย. 59 จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้กำลังประทุษร้าย ดึงกระชากคอเสื้อของนายกิตติศักดิ์ หรือบอย สิงห์โต อายุ 27 ปี พนักงานคัดกรองเอกสาร สำนักงานสรรพากรพื้นที่ตลิ่งชัน ผู้เสียหาย คู่กรณีขี่รถจักรยานยนต์จากที่นั่งอยู่บนรถจักรยานยนต์ มาอีกฝั่งหนึ่งของถนนบริเวณปาก ซ.เจริญกรุง 44 แขวง-เขตบางรัก ที่มีรถยนต์ยี่ห้อ "มินิ" ของนายอัครณัฐ จำเลยที่ 1 จอดอยู่ แล้วใช้ฝ่ามือตบที่ใบหน้าของผู้เสียหาย 2 ครั้ง และต่อยที่บริเวณใบหน้าอีก 1 ครั้ง ทำให้กระดูกจมูกชิ้นใหญ่จำนวน 4 ชิ้นหัก และกระดูกจมูกชิ้นเล็กอีกจำนวนหลายชิ้นหัก รวมทั้งมีบาดแผลฟกช้ำบริเวณเบ้าตาทั้งสองข้าง และแก้มด้านซ้ายบวม ซึ่งเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส หลังจากนั้น จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันข่มขืนใจผู้เสียหายให้กราบรถยนต์ของนายอัครณัฐ จนทำให้ผู้เสียหายต้องจำยอมกราบรถจำเลยที่ 1 โดยไม่ได้สมัครใจ ซึ่งเป็นการรังแกหรือข่มเหงผู้เสียหายให้ได้รับความอับอาย จนกลายเป็นวลีดัง "กราบรถกู" ทั้งนี้ นายอัครณัฐ กับพวก ให้การรับสารภาพ พร้อมกับยอมชดใช้ค่าเสียหายให้กับคู่กรณีเป็นเงิน 1.8 แสนบาท โดย นายนายธีร์ เดินทางมาที่ศาลพร้อมด้วยญาติและทนายความ
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาไปเมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 2560 พิพากษาจำคุก นายอัครณัฐ กับ นายวิทวัส เป็นเวลา 2 ปี จำเลยทั้งสองให้การสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 1 ปี โทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี โดยให้รายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติด้วย เป็นระยะเวลา 4 ครั้ง ใน 1 ปี และให้ทำงานบริการสังคม 24 ชั่วโมง ต่อมาอัยการโจทก์ยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลไม่รอการลงโทษเฉพาะจำเลยที่ 1 เพียงคนเดียว เนื่องจากมีการนำคดีเข้าสู่ระบบไกล่เกลี่ยของศาล โดยไม่ได้เกิดจากการสำนึกผิดของจำเลยที่ต้องการเยียวยาผู้เสียหายเท่านั้น อัยการโจทก์จึงขอให้ศาลไม่ให้รอการลงโทษ เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันโดยละเอียดแล้ว เห็นว่า ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้นเหมาะสมแล้ว อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
ทั้งนี้ นายอัครณัฐ ได้ทำงานบริการสังคม 24 ชั่วโมง ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติเป็นระยะเวลา 3 ครั้งแล้ว โดยมีนัดรายงานตัวครั้งสุดท้ายวันที่ 3 มี.ค.นี้ และจะครบกำหนดคุมประพฤติ 1 ปี ในวันที่ 30 มิ.ย.นี้ และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ถือเป็นที่สิ้นสุด เนื่องจากตามกฎหมายแล้วคดีที่มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นแล้ว จะไม่สามารถนำคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกาได้ เว้นแต่จะมีการขออนุญาตฎีกาที่จะต้องมีผู้รับรองฎีกาตามกฎหมายด้วย
ทั้งนี้ นายอัครณัฐ ได้ทำงานบริการสังคม 24 ชั่วโมง ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติเป็นระยะเวลา 3 ครั้งแล้ว โดยมีนัดรายงานตัวครั้งสุดท้ายวันที่ 3 มี.ค.นี้ และจะครบกำหนดคุมประพฤติ 1 ปี ในวันที่ 30 มิ.ย.นี้ และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ถือเป็นที่สิ้นสุด เนื่องจากตามกฎหมายแล้วคดีที่มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นแล้ว จะไม่สามารถนำคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกาได้ เว้นแต่จะมีการขออนุญาตฎีกาที่จะต้องมีผู้รับรองฎีกาตามกฎหมายด้วย
หลังจากฟังคำพิพากษาแล้ว นายอัครณัฐ ก็ได้โพสต์ข้อความลงในอินสตาแกรมว่า
"ช่วงเวลาที่ผ่านมามีคุณค่ากับผมมาก เรื่องราวทั้งดีทั้งร้ายสอนทุกอย่างในชีวิตผมใหม่หมด ความยากเย็นมันมีคุณค่ากับอนาคตที่ผมต้องเดินต่อ ขอบคุณทุกอย่าง ขอบคุณทุกคนที่คอยช่วยเหลือผมมาตลอด โดยเฉพาะทุกคนที่อยู่ในรูป และอีกหลายๆ คน หลายคนมากๆ จริงๆ เกือบหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา มันจบลงแล้วครับ "
"ช่วงเวลาที่ผ่านมามีคุณค่ากับผมมาก เรื่องราวทั้งดีทั้งร้ายสอนทุกอย่างในชีวิตผมใหม่หมด ความยากเย็นมันมีคุณค่ากับอนาคตที่ผมต้องเดินต่อ ขอบคุณทุกอย่าง ขอบคุณทุกคนที่คอยช่วยเหลือผมมาตลอด โดยเฉพาะทุกคนที่อยู่ในรูป และอีกหลายๆ คน หลายคนมากๆ จริงๆ เกือบหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา มันจบลงแล้วครับ "
Cr:: workpoint,IG@nott.thee
เครดิต :
ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!" ประกาศ "
ร่วมแสดงความคิดเห็น