จากกรณีที่ น.ส.นนทิญา ครัวจัตุรัส อายุ 25 ปี ที่ถูกว่าที่เจ้าบ่าว นายรณชัย ปานชาติ หรือ "เก่ง" อายุ 26 ปี บุกยิงเสียชีวิตในห้องพัก ภายหลังครอบครัวได้เผยว่าก่อนก่อเหตุ นายเก่ง ได้โอนเงินค่าสินสอดไปอยู่กับบัญชีลับของตัวเอง รวมถึงไม่ได้มีการให้ทองคำ 10 บาท ในการหมั้นหมายแต่อย่างใด และเตรียมจะเข้าแจ้งความเรื่องทรัพย์สินที่สูญหายนั้น
นายเชาว์ และ นางสมศรี ครัวจัตุรัส ของ น.ส.นนทิญา หรือ หมอปอ เดินทางมาขอพบ พล.ต.ต.สนธิชัย อาวัฒนกุลเทพ ผบก.ภ.จว.ชุมพร
ล่าสุด นายเชาว์ และ นางสมศรี ครัวจัตุรัส พ่อแม่ของ น.ส.นนทิญา หรือ "หมอปอ" เดินทางมาขอพบ พล.ต.ต.สนธิชัย อาวัฒนกุลเทพ ผบก.ภ.จว.ชุมพร เพื่อซักถามกรณีทรัพย์สินของลูกสาว ที่ยังคาใจอยู่ ว่าหายไปไหน โดยเฉพาะทองรูปพรรณ น้ำหนัก 10 บาท ซึ่งเป็นของหมั้นที่ นายเก่ง นำมาหมั้นลูกสาว เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พร้อมทั้งเงินในบัญชี ของลูกสาว และบัญชีที่ทั้งสองร่วมกันเก็บออมเอาไว้
คาดว่ามีการถอนเงินออกไป แต่ไม่ทราบว่าใครเป็นคนถอนเงิน โดยก่อนที่หมอปอ จะเสียชีวิต ได้บอกว่า เอกสาร และข้อมูลสำคัญ บันทึกอยู่ในโทรศัพท์มือถือ ขณะนี้ยังหาโทรศัพท์ไม่เจอ จึงให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ช่วยติดตามเรื่องดังกล่าวให้กับครอบครัว
โดย พล.ต.ต.สนธิชัย บอกกับพ่อแม่ และญาติของหมอปอ ว่าวันเกิดเหตุ ทางเจ้าหน้าที่ได้ รวบรวมหลักฐานทั้งหมดอย่างละเอียด ทั้งในที่เกิดเหตุ และบ้านผู้ต้องหา แต่ไม่พบทรัพย์สินที่สูญหาย มีเพี่ยงสมุดบัญชีธนาคาร หลายเล่ม พร้อมบัตรเอทีเอ็ม ได้มอบให้ นายบำรุง ไปเก็บไว้ ตามที่ นายบำรุง ร้องขอ ทางเจ้าหน้าที่ได้บันทึก และถ่ายภาพไว้เป็นหลักฐานทุกอย่าง
สำหรับโทรศัพท์มือถือที่หายไป พล.ต.ต.สนธิชัย กล่าวว่า โทรศัพท์มือถือไม่ได้หายไปไหน เพราะทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเจ้าของคดี เก็บรักษาไว้ทั้งของ หมอปอ, นายเก่ง และของ น.ส.นฤมล เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน ส่วนที่พ่อแม่คาใจว่า เอกสาร และข้อมูลสำคัญอยู่ในมือถือ ทางเจ้าหน้าที่จะตรวจสอบว่า มีข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์ในการแกะรอยหาทรัพย์สินหรือเงินทองว่า หรือทั้งสองคนนำไปเก็บไว้ที่ไหน
ทางครอบครัวหมอปอ ได้ให้ข่าวว่า มีการถอนเงินออกไปหลังจากที่ หมอปอ เสียชีวิต จึงไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะสมุดบัญชี และบัตรเอทีเอ็ม อยู่ที่ นายบำรุง พี่ชาย ส่วนที่จะมีการโอนผ่านโทรศัพท์มือถือ ยิ่งเป็นไปไม่ได้เพราะโทรศัพท์มือถือทั้งสามเครื่องของหมอปอ นายเก่งและนฤมล อยู่ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงขอให้ทางพ่อแม่ และครอบครัวของนายเก่ง นำหลักฐานเอกสารที่คิดว่าเป็นประโยชน์ มามอบให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินตรวจสอบหารายละเอียด เส้นทางทรัพย์สินเงินทองทุกอย่างเพื่อสร้างความกระจ่างให้ทุกฝ่าย
ทาง พล.ต.ต.สนธิชัย ได้ชี้แจงกับพ่อแม่และญาติของหมอปอ จนเป็นที่พอใจ ก่อนจะเดินทางกับบ้านเพื่อจัดการเรื่องงานศพต่อไป
ขณะเดียวกันทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ได้เดินทางไปที่บ้านของนายเก่ง ที่จ.บุรีรัมย์ แล้วได้พบกับนายวินัย ปานชาติ อายุ 58 ปี บิดาของนายเก่ง ที่เพิ่งเดินทางกลับจากการไปเยี่ยมลูกชาย ที่เรือนจำจังหวัดชุมพร พร้อมยอมรับว่า ยังทำใจไม่ได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะลูกชายตัวเองต้องถูกจับติดคุก อีกทั้งยังต้องสูญเสียว่าที่ลูกสะใภ้ไปพร้อมกับ
นายวินัย บอกว่า ตนเองรัก "หมอปอ" เหมือนลูก เพราะเป็นคนนิสัยดี ทั้งตนเอง และครอบครัวดีใจที่ทั้ง 2 คนจะแต่งงานสร้างครอบครัวด้วยกัน แต่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น โดยเฉพาะหัวอกคนเป็นพ่อแม่ แทบไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง เพราะปกติแล้วลูกชายเป็นคนเรียบร้อย ไม่ค่อยพูดจา ที่ผ่านมาไม่เคยเห็นลูกมีพฤติกรรมที่รุนแรง หรือทะเลาะวิวาทกับใคร จึงไม่คิดว่าลูกจะคิดสั้นปิดอนาคตตัวเองเช่นนี้ หากย้อนเวลากลับไปได้ อยากให้ลูกชายโทรศัพท์มาปรึกษา เพื่อจะช่วยหาทางออกหรือแก้ไขปัญหา
นอกจากนี้ นายวินัย ระบุอีกว่า ภายหลังมีการนำเสนอข่าวดังกล่าวออกไป ครอบครัวรู้สึกเครียดมากจนไม่อยากดูข่าว จึงอยากจะขอความเห็นใจกับสื่อและสังคม ให้หยุดโจมตีซ้ำเติมครอบครัวตนเอง เพราะไม่มีใครอยากให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ทุกวันนี้ครอบครัวรู้สึกเสียใจ และเครียด พร้อมกับเชื่อว่า คำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ จะไม่เป็นผลดีกับทั้งสองครอบครัว
นายวินัย ยืนยันว่า อยากจะไปเคารพศพของหมอปอ เพื่อแสดงความเสียใจและขอโทษครอบครัวหมอปอ ด้วยตัวเอง แต่ไม่กล้า เพราะกลัวเรื่องความปลอดภัย แต่ตนจะหาโอกาสไปขอโทษอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องเงินค่าสินสอดตนไม่ขอพูดถึง เพราะไม่อยากให้มีปัญหาโต้กันไปมา
ด้านนายสำเริง ปานชาติ อายุ 68 ปี ลุงของนายรณชัย หรือเก่ง บอกว่า ไม่คาดคิดว่าหลานจะก่อเหตุดังกล่าวขึ้น เพราะตั้งแต่เด็กหลานเป็นคนเรียบร้อย พูดน้อย ที่ผ่านมาไม่เคยเห็นหลานมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับใคร การกระทำที่เกิดขึ้นค้านกับนิสัยของหลาน แต่ตนยอมรับว่า หลานชายเป็นผู้ก่อเหตุจริง แต่ด้วยสาเหตุอะไรก็ไม่มีใครรู้ข้อเท็จจริง เป็นเรื่องคนสองคนที่จะรู้ดีที่สุด
จากกระแสสื่อหรือโซเชียลยอมรับว่า ส่งผลกระทบกับครอบครัวญาติพี่น้องเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะลูกหลานที่ไปเรียนหนังสือ ก็จะถูกเพื่อนล้อว่าเป็นญาติ "ฆาตกร" ทำให้กระทบกับสภาพจิตใจ จึงอยากขอความเห็นใจจากสังคมและวิงวอนให้สังคมหยุดโจมตีซ้ำเติมครอบครัวของเก่งด้วย เพราะไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้