ลุกลามใหญ่โต อัยการชี้คดีครูจอมทรัพย์ เข้าข่ายเบิกความเท็จต่อศาล
นายประยุทธ กล่าวว่า โดยเรื่องนี้จะเห็นได้ว่าเมื่อศาลฎีกาได้ยกคำร้องของนางจอมทรัพย์ ย่อมเป็นการยืนยันว่า คำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีที่พิพากษาลงโทษจำคุกเป็นเวลา 3 ปี 2 เดือน ข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เเละหลบหนีไม่ยอมหยุดให้ความช่วยเหลือหรือเเจ้งเหตุต่อเจ้าหน้าที่ทันที ถือเป็นคำพิพากษาที่ถูกต้องทุกประการหรือสรุปสั้นๆคือ นางจอมทรัพย์ไม่ใช่ "เเพะ" ตามที่เป็นข่าว หากเเต่เป็นบุคคลที่กระทำผิดอาญาตามที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาจำคุก ส่วน ประเด็นที่สังคมหรือประชาชนอาจสงสัยก็คือเเล้ว อย่างไร ถึงจะรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ได้สำหรับเรื่องนี้มีการวางหลักไว้ใน มาตรา 5 ของ พ.ร.บ.รื้อคดีอาญาฯที่มีสาระสำคัญคือ
1.พยานหลักฐานใหม่อันชัดเเจ้งเเละสำคัญเเก่คดี ซึ่งถ้าได้มานำมาสืบในคดีอันถึงที่สุดไปนั้นจะเเสดงได้ว่าผู้ที่ถูกลงโทษไม่ได้กระทำผิดหรือ
2.มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าบุคคลที่มาเบิกความจนศาลรับฟังไปลงโทษนั้นเบิกความเท็จ
3.มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าพยานเอกสารที่ศาลฟังลงโทษนั้นเป็นเอกสารปลอม กรณีถ้ามีข้อเท็จจริงอย่างใดอย่างหนึ่งดังกล่าวศาลจะให้รื้อฟื้นคดีขึ้นมาพิจารณาใหม่ เเละจะพิพากษาเพิกถอนคำพิพากษาเดิมที่ลงโทษเเละมีคำพิพากษาใหม่ โดยยกฟ้องคดีเดิมเพื่อยืนยันว่าผู้ร้องเป็นผู้บริสุทธิ์ เเละคืนสิทธิต่างๆตามกฎหมายให้ด้วย
นายประยุทธ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามกรณีนี้เมื่อศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้ในคำพิพากษาว่ามีขบวนการว่าจ้างให้นายสับ วาปี มาสมอ้างว่าเป็นคนขับรถชนผู้ตายเเล้ว ต่อไปจะได้รับผลตามกฎหมายอย่างไรบ้างนั้น โดยหลักเเล้วการฟ้องคดีหรือการเบิกความต่อศาลจะต้องกระทำโดยสุจริต หรือมาศาลมือสะอาด ดังนั้นหากไม่สุจริตหรือเอาความเท็จในข้อสำคัญทางคดีมาเบิกความต่อศาล ก็เข้าข่ายมีความผิดฐานเบิกความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา177ได้ ซึ่งความผิดฐานเบิกความเท็จมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ไม่ว่าจะเป็นคนเบิกความหรือคนที่ได้จ้างวานก็จะมีความผิดเช่นเดียวกัน...
Cr:::: dailynews.co.th