จึงต้องโทษจำคุกเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เธอ ร้องไห้ทุกวัน จนวันนี้บอกแฟนว่า ให้เอาพาสเวิร์ดเฟชบุ๊คเขามาแจ้งผม ทีแรกคิดว่า ถูกแกล้ง จนตัดสินโทรกลับ จึงทราบ ถ้ารัตน์ไม่ใช่คนที่เรารู้ว่าพื้นฐานเขาเป็นอย่างไร ก็ไม่รู้สึกแย่อย่างนี้ หลายวันความคิดสุดท้ายก่อนนอนคือ งานในสวนที่เราอยากเอาไปฝัน แต่คืนนี้ก็เป็นเรื่องอื่นไปไม่ได้ ผมขอแจ้งเพื่อนในวงการข่าวไว้ตรงนี้ ว่า ตอนนี้ เธอ ติดคุกที่ประจวบฯมา5เดือนแล้ว เพื่อได้หาว่า แล้วความจริงที่เป็นธรรมทั้งสองฝ่ายคืออะไรกันแน่ครับ ภาพที่ไล่ดูในเฟช ก็อัพล่าสุดเดือนพฤษภาคม ก่อนไปศาล ไม่มีท่าทีว่ารู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ เบอร์แฟนเขาเผื่อเพื่อนนักข่าวจะขอข้อมูลครับ
จากนั้นเมื่อวันที่ 6 พ.ย. นางเรียม ทองย้อย อายุ 60 ปี พร้อมนายสุรไกร ทองย้อย อายุ 26 ปี มารดาและน้องชายคนเล็กของ น.ส.ณัชชา ทองย้อย หรือ รัดติ้ว อายุ 35 ปี อดีตผู้สื่อข่าวช่องหนึ่ง เดินทางยื่นหนังสือต่อ พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ขอให้รื้อฟื้นคดีหลังถูกศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 6 ปี 8 เดือน ในข้อหาร่วมกันพยายามฆ่าตั้งแต่วันที่ 31 พ.ค.2560
นางเรียม กล่าวว่า สืบเนื่องจากเหตุเกิดเมื่อวันที่ 4 ม.ค.2556 นายสุชาติ ทองย้อย อายุ 34 ปี น้องชายคนกลางของ น.ส.ณัชชา ได้ทะเลาะวิวาทกับคู่กรณีซึ่งเป็นเครือญาติกันเรื่องที่ดิน ประกอบกับคู่กรณีใช้คำพูดไม่สุภาพ โดยก่อนหน้านี้เคยมีปัญหากันมาแล้วหลายครั้งจึงเกิดบันดาลโทสะ ใช้อาวุธปืนยิงคู่กรณีเฉียดน่อง 1 นัด โดยขณะเกิดเหตุ น.ส.ณัชชา กับนายสุรไกร อยู่ภายในบ้านแต่ได้วิ่งมาดูหลังจากเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว ต่อมาคู่กรณีเข้าแจ้งความที่ สภ.สามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์ เอาผิดนายสุชาติ ในข้อหาพยายามฆ่า หลังจากนั้นผ่านมาอีก 2 เดือน คู่กรณีได้แจ้งความเพิ่มเติมต่อ น.ส.ณัชชา โดยมีพยานยืนยันว่า น.ส.ณัชชา เป็นคนสั่งให้ยิง ต่อมาพนักงานสอบสวนจึงได้แจ้งข้อหาน.ส.ณัชชา และ นายสุรไกร ร่วมกันพยายามฆ่า
"เมื่อเรื่องถึงศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้ น.ส.ณัชชา ถูกจำคุก 6 ปี 8 เดือน แต่ศาลอุทธรณ์เห็นต่างเปลี่ยนเป็นร่วมกันทำร้ายร่างกาย ขณะที่ศาลฎีกาเห็นพ้องศาลชั้นต้นให้จำคุก 6 ปี 8 เดือนไม่รอลงอาญา ก่อนถูกคุมขังในเรือนจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ส่วนนายสุรไกร อัยการไม่ได้สั่งฟ้องเพราะไม่มีหลักฐานเอาผิด ขณะที่นายสุชาติ ผู้ที่ก่อเหตุได้ยอมรับตั้งแต่ต้นถูกพิพากษาจำคุก 25 ปี ส่วนสาเหตุที่ น.ส.ณัชชา ไม่ร้องเรียนตั้งแต่เเรก เพราะมั่นใจในความบริสุทธิ์ของตนเอง และกระบวนการยุติธรรม โดยการเดินทางมาวันนี้เพื่อให้ข้อมูลบางอย่างซึ่งยังไม่ปรากฎในสำนวน" นางเรียม กล่าว
ด้าน พ.ต.อ.ดุษฎี ระบุว่า ตนเองยินดีจะให้คำปรึกษาในขั้นตอนของการขอรื้อคดี แต่ขณะนี้หลักฐานที่นำมายังไม่ครบ และไม่มีพยานหลักฐานอื่นเพียงพอให้นำมาหักล้าง จึงให้ครอบครัวกลับไปเตรียมหลักฐานพร้อมนำทนายความมาด้วยในครั้งหน้า
ล่าสุดทางด้าน เฟซบุ๊ก Natthakan Thintip ได้รายงานว่า...อัพเดท..คดีน้องรัตน์-ณัฐชา ทองย้อย
"..หลังจากที่วันนี้ ชิวได้เดินทางมาหาน้องติ้ว ที่เรือนจำจังหวัดประจวบฯ รัตติ้ว ทองย้อย. ฝากข้อความ ขอบคุณ พี่ๆ น้องๆ ในวงการสื่อมวลชน ที่รักและเป็นห่วงติ้วทุกคนนะคะ ทุกคนที่ฝากความห่วงใยมาถึงน้อง ชิวบอกหมดทุกประโยค ทุกข้อความนะคะ น้ำตาที่ไหลอาบแก้มน้องติ้ว หลังจากที่ได้รู้ว่า มีความห่วงใยมากมายเพียงไรส่งมาถึงน้อง และกับคำถามที่หลายคนสงสัยว่า..ทำไมน้องถึงปล่อยให้เรื่องราวเลยมาถึงขั้นนี้?
น้องติ้วบอกกับชิวว่า เพราะน้องติ้วคิดมาตลอดว่า.. ความยุติธรรมจะอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงและความบริสุทธิ์เสมอ น้องติ้วร้องไห้ตลอดเวลาที่เราคุยกัน!! น้องติ้วบอกกับชิวว่า..ตลอดเวลาที่สู้คดีตั้งแต่ศาลชั้นต้น จนถึงศาลฎีกา น้องคิดถึงสิ่งที่น้องเคยทำงานช่วยเหลือสังคมมาตลอดเวลา ที่น้องทำหน้าที่สื่อมวลชน
กระทั่งวันสุดท้ายที่น้องยังนั่งทำหน้าที่เป็นพิธีกร "รายการ..สปริงส์อาสาคลายทุกข์" ก่อนที่น้องจะลางานเพียงแค่ 1 วัน เพื่อมาฟังคำพิพากษา โดยที่น้องก็ไม่ได้มีโอกาสรู้เลยว่า..น้องจะไม่มีวันได้กลับไปนั่งทำหน้าที่นั้นอีกแล้ว!! น้ำตาที่ไหลอาบแก้มน้องติ้วตลอดเวลา บ่งบอกถึงความเจ็บปวดของผู้หญิงบริสุทธิ์ตัวเล็กๆคนหนึ่ง กับสิ่งที่เธอได้รับจากกระบวนการยุติธรรม ถึงทำให้ชีวิตของผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่เป็นเสาหลักของครอบครัวต้องมารับชะตากรรมเช่นนี้!! หลังจากได้คุยกันพอสมควร น้องติ้วบอกว่า.."เธอมีกำลังใจที่ดีและเข้มแข็งขึ้น ติ้วยังยืนยันในความบริสุทธิ์ของตัวเองอย่างหนักแน่น"
ส่วนชิวเอง ก็ได้รายละเอียดมาพอสมควร รวมทั้งได้แวะถ่ายภาพที่เกิดเหตุไว้หมดแล้ว เหลือเพียงแต่ต้องตามข้อมูลจากตำรวจเจ้าของคดีเพิ่มเติม ซึ่งต้องหาเวลามาอีกประโยคสุดท้าย!! น้องติ้วบอกกับชิวว่า.."หนูจะเก็บความห่วงใยและความปราถนาดีของพี่ๆเพื่อนๆทุกคน ที่มีให้หนูในวันนี้ ไว้เป็นกำลังใจให้ตัวหนู ที่ต้องอยู่กับชะตากรรมที่หนูยังไม่ได้รับความยุติธรรมต่อไป"