ทนายความชี้กรณี “ลุงวิศวะ” ป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย
หลังจากอัยการจังหวัดชลบุรี มีคำสั่งฟ้อง นายสุเทพ โภชน์สมบูรณ์ อายุ 50 ปี อาชีพวิศวกรผู้ก่อเหตุใช้ปืนยิงนายนวพล ผึ่งผาย หรือ ปอน อายุ 17 ปี เสียชีวิต ในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา พกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร ซึ่งมีอัตราโทษสูงสุดคือประหารชีวิต หรือติดคุกตลอดชีวิต ทำให้ประชาชนหลายคนร่วมถึงสื่อสังคมออนไลน์ออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางพร้อมตั้งคำว่า "ทำไมคนป้องกันตัวเองและครอบครัว จึงโดนลงโทษรุนแรง"
วันนี้ (5 ก.ย. 60) นายสุเทพ โภชน์สมบูรณ์ เปิดเผยกับพีพีทีวี หลังถูกอัยการชลบุรีสั่งฟ้องว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนตั้งใจที่จะปกป้องครอบครัว และรู้สึกตกใจที่อัยการชลบุรีสั่งฟ้องข้อหาหนัก เนื่องจากมั่นใจว่าตนเองให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และพนักงานสอบสวนอย่างตรงไปตรงมาตามพยานหลักฐาน พร้อมทั้งยืนยันว่า "ผมพยายามที่จะปกป้องครอบครัวผม จะด้วยวิธีไหนก็ตาม ณ ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไร แต่เมื่อเขามาถึงแล้ว เข้ามาในรถแล้ว ผมคิดแค่ว่าทำอย่างไรก็ได้ ให้พวกเขาออกไปจากรถผม และครอบครัวผม"
นอกจากนี้ ลุงวิศวะ วัย 50 ปี ยังเปิดเผยข้อมูลอีกหนึ่งอย่างกับพีพีทีวีว่า ในวันเกิดเหตุนอกจากตนเองจะไม่สบายแล้ว ภรรยาก็เพิ่งผ่าตัดสมองมา ซึ่งกระโหลกยังไม่ติดกัน หากโดนทำร้ายหรือโดนกระทบที่ศีรษะ อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ซึ่งข้อมูลนี้สามารถตรวจสอบได้ที่โรงพยาบาลในวันเกิดเหตุ สำหรับสาเหตุที่ตนตัดสินใจจอดรถบริเวณดังกล่าว เนื่องจากปกติจะมีเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯมาประจำอยู่ จึงจอดขอความช่วยเหลือ และอีกอย่างหนึ่งคือรถคู่กรณีเป็นป้ายทะเบียนกรุงเทพฯ ซึ่งคาดว่าน่าจะวิ่งกลับเส้นทางเดียวกัน จึงเกรงว่าจะเกิดอันตรายระหว่างทาง
กรณีนี้ อาจารย์ปรเมศวร์ อินทรชุมนุม รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา กล่าวว่า
การสั่งฟ้องข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ของอัยการชลบุรี ถือเป็นสมควรแก่หลักฐาน ส่วนจะได้รับโทษหรือไม่ขึ้นอยู่กับการสืบพยาน และคำพิพากษาของศาล ถ้าเป็นการป้องกันตัวจริงจะไม่มีความผิด แต่ถ้าเกินกว่าเหตุศาลมีสิทธิ์สั่งลงโทษ สำหรับการป้องกันตัวนั้น สามารถป้องกันตัวเมื่อภัยอันตรายใกล้ถึงตัว และต้องไม่ใช่ความผิดที่ตัวเองก่อขึ้น หรือมีส่วนสมัครใจเข้าทะเลาะวิวาท คดีนี้หากดูจากพยานหลักฐาน ซึ่งเป็นคลิปจากกล้องหน้ารถ นายสุเทพอาจเข้าข่ายร่วมก่อให้เกิดการกระทำนั้น และต้องดูว่าระหว่างทางที่ขับรถออกจากจุดแรกจนถึงจุดเกิดเหตุ นายสุเทพ มีพฤติกรรมยั่วยุหรือทำให้มีส่วนทะเลาะวิวาทหรือไม่
ทั้งนี้ อาจารย์ปรเมศวร์ ยังพูดถึงการพกพาอาวุธปืนในที่สาธารณะ ว่าหากพกพาเนื่องจากมีเหตุจำเป็นเช่น ขนเงินจำนวนมากไปฝากธนาคาร หรือเคยถูกกลุ่มคนบุกเข้าทำร้ายร่างกาย ก็สามารถพกพาอาวุธปืนได้ อย่างไรก็ตามการป้องกันตัว เมื่อมีภัยอันตรายควรทำอย่างสมควรแก่เหตุ หากคู่กรณีไม่มีอาวุธปืน ควรยิงขู่หรือยิงจุดที่ไม่สำคัญเพื่อให้อันตรายนั้นหมดไป แต่หากคู่กรณียังไม่หยุด ก็สามารถยิงต่อเนื่องได้จนกว่าอันตรายจะหมดไป
ด้านอาจารย์ปรีชา ณ เชียงใหม่ ทนายความ มองว่ากรณีของนายสุเทพ เป็นการป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากก่อนหน้าจะเกิดเหตุ นายสุเทพมีปืนอยู่ในรถตลอดการทะเลาะวิวาทและขับรถไล่จี้กันหรือแม้กระทั่งจังหวะที่กลุ่มวัยรุ่นกรูเข้ามาใส่รถ ซึ่งสามารถยิงใส่กลุ่มวัยรุ่นได้ตลอดเวลาแต่เขากลับไม่ทำ ซึ่งเขาลั่นไกหลังจากที่ตนเองโดนทำร้าย และเป็นห่วงภรรยาว่าจะเกิดอันตรายเนื่องจากเพิ่งผ่าตัดสมอง หลังจากนี้นายสุเทพ ควรรวบรวมพยานหลักฐานและชี้แจงประเด็นดังกล่าวให้ได้ว่า ตนเองตัดสินใจยิงเมื่อภัยอันตรายมาถึงตัว และไม่มีทางสู้ รวมถึงก่อนยิงนายสุเทพ ไม่มีโอกาสได้เลือกเป้าหมาย อีกทั้งเป็นการยิงเพียงนัดเดียวเพื่อให้ภัยอันตรายนั้นหมดไป
>>>>>
>>>>>
CR::: pptvhd36.com