เบิกความว่า ต้นปี 2556 พยานทราบจากสื่อโทรทัศน์ว่า ผู้ตายทำร้ายร่างกายจำเลยที่ 3 มีการร้องทุกข์ดำเนินคดีและขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิปวีณาฯ จึงพูดคุยทางโทรศัพท์เคลื่อนที่กับจำเลยที่ 3 ซึ่งปรึกษาขอให้หาคนมาช่วยปรามผู้ตายไม่ให้ทำร้ายจำเลย ที่ 3
จนกระทั่งนายฐปนวัฒน์ จิ้วไม้แดง ญาติของพยาน พาทนายอี๊ด จำเลยที่ 4 มาที่โรงพยาบาลเสรีรักษ์ ขณะที่หมอนิ่มพักรักษาในห้องผู้ป่วยพิเศษ เพื่อรักษาตัวจากการแท้งบุตรหลังถูกผู้ตายทำร้าย
โดยหมอนิ่มนั่งโซฟาคุยกับนายฐปนวัฒน์ และทนายอี๊ด โดยมีธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท วางอยู่ 6 มัด ประมาณ 6 แสนบาท อยู่บนโต๊ะ
จำเลยที่ 3 บอกนายฐปนวัฒน์ กับทนายอี๊ดให้ช่วยจัดการผู้ตายให้หน่อย ใช้เวลาคุยประมาณ 10 นาที จากนั้นจำเลยที่ 4 ก็เก็บเงินใส่ซองสีน้ำตาล หมอนิ่มบอกอีกว่า ผู้ตายใช้รถปอร์เช่ สีดำ ทะเบียน ก 2223
และยังระบุอีกว่า หลังเกิดเหตุตำรวจแจ้งว่า ตนถือเป็นผู้ร่วมกระทำความผิด และขอให้ช่วยเหลือจำเลยที่ 3 จึงให้การ ในชั้นสอบสวนว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้จ้างวานฆ่า
เปิดปมสั่งฆ่าเอ็กซ์ จักรกฤษณ์
ศาลเห็นว่าตามข้อเท็จจริงที่ได้จากคำเบิกความของน.ส.วรพรรณภูรี ถ้อยคำมีลักษณะซัดทอดผู้กระทำความผิดอื่นด้วยกัน และเปลี่ยนข้อเท็จจริงหลายครั้งตั้งแต่ต้นจนกระทั่งมาเบิกความต่อศาลในชั้นพิจารณา
การพิจารณารับฟังพยานโจทก์ปากนี้จึงต้องรับฟังด้วยความระมัดระวัง และต้องพิจารณาประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์เพื่อชั่งน้ำหนักความน่าเชื่อถือ
ขณะที่ พ.ต.อ.นพศิลป์ พูนสวัสดิ์ เป็นพยานเบิกความว่า เมื่อได้สอบพยานผู้เกี่ยวข้องและรวบรวมหลักฐานต่างๆ สรุปได้ว่าความขัดแย้งที่นำไปสู่การสังหารผู้ตายเกิดจากความขัดแย้งในครอบครัว
ซึ่งในประเด็นดังกล่าวโจทก์มีน.ส.โชติกา (ขอสงวนนามสกุล) เป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่า ผู้ตายคบหามีความสัมพันธ์ฉันชู้สาว ผู้ตายเคยพาพยานไปที่บ้านและพบกับจำเลยที่ 3 จนเป็นที่ไม่พอใจของจำเลยที่ 3 ผู้ตายเคยพาพยานมาค้างที่บ้านและพบกับจำเลยที่ 3
ผู้ตายนัดหมายให้พยานมาพบในวันที่ 11 ก.ค 56 เนื่องจากผู้ตายมีนัดถ่ายทำรายการกีฬา แต่พยานไม่อยากมา ผู้ตายโทร.ตามจนพยานมาที่บ้านและถูกผู้ตายทำร้ายและทำลายทรัพย์สินแล้วพาไปสนามกีฬาเพื่อถ่ายทำรายการ
ส่วนจำเลยที่ 3 ขับรถอีกคันตามไป ระหว่างที่ผู้ตายถ่ายทำรายการให้พยานนั่งเฝ้ากระเป๋าเงินและทรัพย์สิน พยานรู้สึกหิวน้ำกำลังจะล้วงหยิบเงินในกระเป๋าเงิน จำเลยที่ 3 เห็นจึงเข้าไปด่าว่าพยานจนไม่กล้าหยิบเงิน เมื่อพักถ่ายรายการจำเลยที่ 3 เข้าไปฟ้องผู้ตายว่า พยานจะล้วงหยิบเงินในกระเป๋าเงินของผู้ตาย แต่กลับถูกผู้ตายไม่พอใจผลักศีรษะของจำเลยที่ 3 และยังท้าทายจำเลยที่ 3 อีกว่าหากไม่พอใจเลิกกัน เป็นเหตุให้จำเลยที่ 3 มีสีหน้าไม่พอใจ
ศาลเห็นว่า เหตุการณ์ที่ผู้ตายกระทำต่อจำเลยที่ 3 ไม่ว่าจะเป็นการพาผู้หญิงอื่นมาค้างที่บ้าน การไม่ให้เกียรติจำเลยที่ 3 ผลักศีรษะจำเลยที่ 3 และท้าทายให้เลิกกันต่อหน้าผู้หญิงอื่นซึ่งมีความสัมพันธ์กับผู้ตาย
ย่อมสร้างความขุ่นเคืองและนับเป็นฟางเส้นสุดท้ายต่อความอดกลั้นและอดทนต่อพฤติกรรมของผู้ตายที่มีปัญหาติดยาเสพติด ความเจ้าชู้ และใช้ความรุนแรงทำร้ายร่างกายและจิตใจจำเลยที่ 3
นอกจากนี้พบว่าจำเลยที่ 3 จดทะเบียนบริษัทใหม่ที่ลดสัดส่วนหุ้นผู้ตายลง เท่ากับต้องการกำจัดผู้ตายออกจากการเป็นเจ้าของคลินิก โดยจำเลยที่ 3 ทราบถึงอุปนิสัยใจคอของผู้ตายดีอยู่แล้วว่า หากผู้ตายทราบเรื่อง ย่อมต้องไม่พอใจ และอาจทำร้ายจำเลยที่ 3 ได้
จากลำดับเหตุการณ์ความขัดแย้งดังกล่าวระหว่างผู้ตายกับจำเลยที่ 3 ย่อม เป็นมูลเหตุจูงใจจำเลยที่ 3 ในการสังหารผู้ตายได้
ประหารหมอนิ่ม-ยกฟ้องแม่
เมื่อประกอบกับการสืบสวนของพ.ต.อ.นพศิลป์ ที่เบิกความจากการถอดข้อมูลโทรศัพท์ของน.ส.วรพรรณภูรี และจำเลยที่ 3 พบมีการติดต่อกันอย่างผิดปกติ โดยจำเลยที่ 3 แจ้งความเคลื่อนไหวของผู้ตายให้พยาน เพื่อให้แจ้งให้จำเลยที่ 4 ทราบอีกที