ล่าสุด 25 เม.ย. น.ส.ศิวาภรณ์ ทิมทอง อายุ 34 ปี ลูกสาวของนายคะนอง กล่าวเปิดเผยว่า สำหรับที่ดินผืนดังกล่าวที่มีปัญหากัน เป็นที่ดินของพ่อนายนัธวัฒน์ ซึ่งมีเนื้อที่ 9 ไร่ 53 ตารางวา โดยเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว พ่อนายนัธทวัฒน์ ได้นำไปจำนองไว้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นเงิน 30,000 บาท และไม่ได้ส่งดอกเบี้ยหรือเงินต้น ทางนายคะนอง ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้าของนายนัธทวัฒน์ เห็นว่า ธนาคารจะมายึดที่ดิน จึงได้นำเงินจำนวน 30,000 บาท ไปไถ่ถอนคืนมาแล้วโอนเป็นชื่อของนายคะนอง ระหว่างนั้นก็ไม่ได้มีการขับไล่หรือไปยุ่งเกี่ยวอะไรเลย โดยปล่อยให้ครอบครัวของนายนัธทวัฒน์ อยู่ทำมาหากินต่อไป เนื่องจากเห็นว่าเป็นญาติกัน
ต่อมานายคะนองได้รับการติดต่อจากการไฟฟ้าให้เป็นตัวแทนเก็บเงินค่าไฟฟ้าตามหมู่บ้าน จากนั้นนายคะนอง จึงนำโฉนดที่ดินผืนดังกล่าวไปค้ำประกันเพื่อเข้างาน จากนั้นนายคะนอง ได้ไปซื้อรถกระบะให้กับนายธีรพงษ์ ซึ่งเป็นน้องชายของตน ที่ จ.พิษณุโลก แต่นายธีรพงษ์ ไม่เอา นายคะนองจึงนำไปคืน หลังจากนั้นทางบริษัทไฟแนนซ์ ก็ต้องเรียกเก็บค่าเสียหาย เป็นเงิน 120,000 บาท และทางบริษัทไฟแนนซ์ ตรวจสอบพบว่านายคะนองมีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินอยู่ 9 ไร่ 53 ตารางวา จึงเตรียมยึดเพื่อชำระแทนค่าเสียหาย แล้วจึงเอาป้ายไปติดประกาศยึดไว้
จากนั้นทางบ้านของนายนัธทวัฒน์ เห็นป้ายประกาศยึดที่ดิน จึงคิดว่าทางนายคะนองจะขับไล่ ประกอบมีการพูดคุยกันของญาติฝั่งนายนัธทวัฒน์ เพื่อให้ฟ้องร้องเรียกที่ดินคืน กระทั่งศาลชั้นต้นตัดสินให้นายคะนองชนะคดี ส่วนศาลอุทธรณ์ตัดสินให้แพ้คดี ต่อมาศาลฎีกา ตัดสินให้นายคะนองชนะคดี และที่ดินก็ตกเป็นของนายคะนองถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งทางบ้านตนเห็นว่าฝั่งบ้านของนายนัธทวัฒน์ ฟ้องร้องเรียกเอาที่ดิน จึงตัดสินใจไม่ให้เข้าไปอยู่ในที่ดินผืนดังกล่าว แต่ฝั่งนายนัธทวัฒน์ ก็ไม่ยอมออก น.ส.ศิวาภรณ์กล่าว
จากนั้นนายคะนอง ไม่อยากที่จะมีปัญหากันต่อเนื่องจากเห็นว่าเป็นญาติพี่น้องกัน และพบว่านายนัธทวัฒน์ มีที่ดินซึ่งติดกับที่ดินผืนปัจจุบันที่มีปัญหาจำนวน 3 ไร่ จึงตัดสินใจแลกที่ดิน 3 ไร่ กับที่ดิน 9 ไร่กัน โดยมีการทำเอกสารสัญญา และมีประจักษ์พยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้นำท้องถิ่นเป็นสักขีพยาน แต่ยังไม่ได้มีการเซ็นสัญญากัน นอกจากนี้ยังมีสัญญาปากเปล่าด้วยว่า หากฝ่ายตนไม่ยอมเซ็นแลกที่ดินก็จะจ่ายเงินให้ 500,000 บาท แต่หากฝ่ายนายนัธทวัฒน์ ไม่ยอมแลกที่ดินก็ต้องจ่ายเงินค่าเสียเวลาให้พวกตน 200,000 บาท โดยจะนัดเซ็นสัญญากันในวันที่ 3 มิ.ย.ที่จะถึงนี้
น.ส.ศิวาภรณ์กล่าวต่ออีกว่า ซึ่งก่อนเกิดเหตุเพียง 1 วัน ทางนิติกรอำเภอได้มาบอกให้พ่อตนไปเจรจากับฝ่ายนายนัธทวัฒน์ที่ อบต.แม่สิน ในรุ่งเช้าวันที่ 22 เม.ย. เมื่อทางบ้านตนไปตามนัด พ่อตนก็ไม่อยากพูดอะไรมาก เพราะเรื่องคดีศาลก็ตัดสินจบแล้ว จึงเดินทางกลับทันที แต่ นายนัธทวัฒน์ได้เดินตามมาที่รถแล้วใช้ปืนที่เตรียมมาก่อเหตุดังกล่าว ซึ่งตนเชื่อว่านายนัธทวัฒน์ ต้องเตรียมตัวมาอย่างดี เพราะมีการพกปืนเตรียมไว้ที่ใต้เบาะรถจยย.ด้วย หลังเกิดเหตุตนก็ต้องสูญเสียพ่อ แม่ และน้องชาย จนขณะนี้ครอบครัวตนเหลือตนเพียงคนเดียว เพราะทั้ง 3 คน ก็เสียชีวิตไปหมดแล้ว