ขโมยตู้บริจาควัดราชบูรณะครั้งที่สองในรอบ 1 เดือน

โจรใจบาปได้ใจ งัดตู้บริจาควิหารหลวงพ่อทองดำอายุ 700 ปีวัดราชบูรณะ จ.พิษณุโลก ครั้งที่สองในรอบ 1 เดือน

เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 12 มิ.ย. 2550

ร.ต.ต.รัชตะ สร้อยแก้ว ร้อยเวร สภ.อ.เมืองพิษณุโลก รับแจ้งเหตุคนร้ายบุกงัดตู้บริจาคภายในวิหารหลวงพ่อทองดำ วัดราชบูรณะ อ.เมือง จ.พิษณุโลก จึงรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพบว่า

คนร้ายได้ใช้เครื่องมือตัดกุญแจประตูกลางด้านหน้าวิหาร

และเปิดประตูกลางเข้าไปงัดตู้บริจาคภายใน 3 ตู้ จากที่มีทั้งหมด 4 ตู้ โดยเฉพาะตู้ใหญ่ที่มีกุญแจล็อคแน่นหนาถึง 3 ดอกนั้น คนร้ายได้ใช้เครื่องมือตัดกุญแจทั้งหมดและกวาดเงินตู้ในบริจาคไปจนเกลี้ยง เหลือเพียงเศษเงินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนอีกหนึ่งตู้ที่ตั้งอยู่หน้าประตูวิหารนั้น คนร้ายไม่ได้แตะต้อง

สำหรับวิหารหลวงพ่อทองดำนั้น

เป็นวิหารเก่าแก่ของวัดราชบูรณะ มีหลวงพ่อทองดำเป็นองค์พระประธาน ภายในทางวัดได้จัดให้เป็นพิพิธภัณฑ์ เก็บรวบรวมของเก่าให้ประชาชนได้รับชมจำนวนมาก ตู้บริจาคทั้ง 3 ตู้ที่ถูกงัดไปนั้นตั้งอยู่ด้านหน้าพระประธาน ส่วนทรัพย์สินโบราณวัตถุอื่น ๆ คนร้ายไม่ได้แตะต้อง

นายไพศาล อิ่มอยู่ อายุ 34 ปี

อยู่บ้านเลขที่ 143/5 ม.4 ต.ย่านยาว อ.เมือง จ.พิจิตร ผู้เห็นเหตุการณ์เป็นคนแรกเปิดเผยว่า ตนมาทำงานก่อสร้างมณฑปที่วัดราชบูรณะและนอนพักใต้ศาลาการเปรียญ ในเวลาประมาณ 05.00 น.

ตนตื่นนอนและจะลุกมาปิดไฟภายในวิหาร

และพบเห็นร่องรอยประตูหน้าด้านกลางถูกเปิดอกหนึ่งบาน มีร่องลอยกุญแจสายยูถูกตัดทิ้งวางไว้หน้าวัด จึงแจ้งเจ้าอาวาสมาตรวจสอบและพบว่าถูกงัดแงะเข้าไปขโมยตู้ดังกล่าว

จากการสอบสวนพระครูสิทธิธรรมวิภัช

เจ้าอาวาสวัดราชบูรณะยืนยันว่า ได้ปิดประตูอย่างแน่นหนาพร้อมล็อคกุญแจตู้บริจาคเพิ่มถึง 3 ชั้น หลังเกิดเหตุคนร้ายงัดประตูศาลาการเปรียญวัด ขโมยเงินในตู้บริจาค 8 ตู้ ได้เงินไปกว่าแสนบาทไปเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา ก่อนมาก่อเหตุลงมือซ้ำอีกในครั้งนี้

ที่คาดว่าจะสูญเสียเงินในตู้บริจาคไปประมาณ 20,000 บาท

และไม่ทราบว่าคนร้ายจะเป็นรายเดียวกันหรือไม่ เพราะวิธีการงัดแงะคล้ายกับครั้งแรกมาก และการขโมย ก็จะเหลือตู้บริจาคไว้ 1 ตู้ โดยครั้งแรก มีตู้บริจาค 9 ตู้ แต่งัดไป 8 ตู้ ครั้งนี้มีตู้บริจาค 4 ตู้ และงัดไป 3 ตู้ อย่างไรก็ตาม ทางตำรวจจะได้สืบสวนสอบสวนและติดตามโจรใจบาปรายนี้มาดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก