อื้อฉาวอีกแล้ว แหม่มสาวโดนลวงขืนใจที่ภูเก็ต เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 28 ก.ย. พ.ต.ท.โสภณ บริรักษ์ รองผกก.สส.สภ.กะรน จ.ภูเก็ต พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวนายสมเดช ศรีใส อายุ 33 ปี อยู่ที่บ้านเลขที่ 78 ม.8 ต.ลำเหย อ.ดอนตูม จ.นครปฐม ผู้ต้องหาคดีข่มขืนนักท่องเที่ยวสาวชาวรัสเซียไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่ ห้องพัก
โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 27 ก.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนสภ.กะรน ร่วมกันจับกุมนายสมเดช และแจ้งข้อหาข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยมีนักท่องเที่ยวสาวชาวรัสเซียเข้าแจ้งความว่าถูกข่มขืน พร้อมยึดของกลางประกอบด้วยเศษผ้าปูที่นอนมีการฉีกเป็นแถบ ซึ่งผู้ต้องหาใช้มัดมือผู้เสียหายขณะข่มขืนกระทำชำเราจำนวน 4 ชิ้น เสื้อยืดคอโปโลสีแดงลายขาว แถบขวาง 1 ตัว กางเกงยีนส์ 1 ตัว กางเกงในสีเขียว 1 ตัว และรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟ 125 สีเขียว ทะเบียน กยพ 575 ภูเก็ต 1 คัน โดยจับกุมได้ที่ซอยตรงข้ามห้างแว่นกรุงไทย ถ.ปฏัก ต.กะรน อ.เมือง จ.ภูเก็ต
ทั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อ เวลา 12.30 น. วันที่ 27 ก.ย.ที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวสาว (ขอสงวนชื่อและนามสกุล) อายุ 29 ปี ชาวรัสเซีย ได้เข้าแจ้งความต่อร.ต.อ.นิพนธ์ เต็มสังข์ พนักงานสอบสวน สภ.กะรน ว่า ได้เดินทางออกมาจากโรงแรมดวงจิตร รีสอร์ท ต.ป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต เพื่อมาดื่มสังสรรค์กับเพื่อนๆ ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในต.กะรน จากนั้นเวลาประมาณ 04.00 วันที่ 27 ก.ย. ผู้เสียหายเริ่มรู้สึกตัวว่าเมา ได้เดินออกมาจากวงเลี้ยงสังสรรค์มาริมถนน เพื่อหารถโดยสารกลับโรงแรม โดยขณะนั้นเพื่อนๆ ได้นั่งดื่มเหล้ากันต่อที่โรงแรมดังกล่าว
ผู้เสียหายให้การต่อไปว่า ระหว่างนั้นมีชายไทย 1 คนขับรถจักรยานยนต์มาจากหาดป่าตอง แล้วได้จอดรถจักรยานยนต์ชวนพูดคุยกับตน และอาสาจะขับรถไปส่งที่โรงแรมที่พัก จึงนั่งซ้อนท้ายไปด้วย แต่แทนที่คนร้ายจะพาไปโรงแรมที่พัก คนร้ายกลับพาไปห้องพักของคนร้าย จากนั้นคนร้ายได้ใช้กำลังพยายามจะข่มขืนผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายพยายามดิ้นรนขัดขืนเพื่อเอาตัวรอด แต่ถูกคนร้ายจับมัดมือทั้ง 2 ข้างด้วยผ้าปูที่นอน เพื่อไม่ให้ขัดขืน
ผู้เสียหายให้การ อีกว่า เนื่องจากเกรงว่าจะถูกทำร้ายหรือถูกฆ่า จึงยอมให้คนร้ายข่มขืนจนเสร็จกิจ 2 ครั้ง หลังจากนั้นในช่วงเช้าวันเดียวกัน ได้อ้อนวอนหลอกล่อ ขอให้คนร้ายได้พาไปส่งที่โรงแรมที่พัก ซึ่งคนร้ายก็ยินยอมขี่รถจักรยานยนต์ไปส่ง เมื่อกลับถึงโรงแรมที่พัก จึงแจ้งให้แฟนหนุ่มทราบ ก่อนที่จะเดินทางมาแจ้งความดำเนินคดี
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจสอบจากกล้องวงจรปิดตามจุดต่างๆ ที่ผู้เสียหายระบุจนพบภาพคนร้ายชัดเจนว่าเป็นนายสมเดช และเมื่อนำภาพถ่ายนายสมเดชไปให้ผู้เสียหายดู ก็ยืนยันว่าใช่คนร้ายที่ลงมือข่มขืนจริง เจ้าหน้าที่ ตำรวจจึงนำกำลังเข้าจับกุมตัวนายสมเดชได้พร้อมของกลางดังกล่าวที่ซอยตรงข้าม ห้างแว่นกรุงไทย ถ.ปฏัก ต.กะรน อ.เมือง จ.ภูเก็ต
จากการสอบ สวนนายสมเดชให้การว่า ตนเห็นผู้เสียหายเมา และเดินอยู่ข้างถนน จึงอาสาจะไปส่งผู้เสียหายที่โรงแรมที่พัก ต.ป่าตอง แต่ตนพาผู้เสียหายมานอนที่ห้องพัก เพื่อให้สร่างเมา แต่เนื่องจากเห็นว่ามีรูปร่างหน้าตาสวย ตนจึงเกิดอารมณ์ จึงพยายามขอมีอะไรด้วย แต่ถูกปฏิเสธ ก่อนนำผ้าปูที่นอนมาตัดแล้วใช้มัดมือของผู้เสียหายทั้ง 2 ข้างไว้บนศีรษะ จากนั้นได้กระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่ 2 ครั้ง โดยไม่ได้สวมถุงยางอนามัย จากนั้นพอสว่างก็นำผู้เสียหายไปส่งที่โรงแรมที่พักของผู้เสียหาย ต.ป่าตอง ตนไม่คิดว่าผู้เสียหายจะแจ้งความ จนกระทั่งถูกเจ้าหน้าที่จับกุมในที่สุด
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เชิญผู้เสียหายมาชี้ตัวนายสมเดช ซึ่งผู้เสียหายก็ชี้ตัวได้อย่างแม่นยำ จากนั้นจึงดำเนินคดีนายสมเดชในข้อหากระทำชำเราหญิงสาวซึ่งไม่ใช่ภรรยา ก่อนส่งตัวเข้าห้องคุมขังในทันที
ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 28 ก.ย. ที่ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรภาค 8 ส่วนหน้า (ศปก.ภ.8 สน.) พล.ต.ท.ปัญญา มาเม่น ผบช.ภาค 8 ได้เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดคลี่คลายคดี พล.ต.ท.ปัญญาเปิดเผยว่า ขณะนี้ได้พยานสำคัญบางอย่างมาแล้ว แต่อยู่ระหว่างการตรวจสอบ นอกจากนั้นยังได้ตรวจสอบกลุ่มบุคคลที่เดินผ่านไปยังที่เกิดเหตุในช่วงเวลา 02.00 น. ซึ่งได้เชิญมาสอบปากคำแล้วจำนวนหนึ่ง ซึ่งกลุ่มผู้ประกอบการก็มาขอภาพจากตำรวจไปตรวจสอบว่ากลุ่มคนเหล่านั้น เป็นคนที่ร้านหรือโรงแรมที่พักของตนหรือไม่ เพื่อช่วยเจ้าหน้าที่อีกแรง ทำให้เราได้ข้อมูลเพิ่มขึ้นมาก
"เชื่อว่าการสกรีนคนและการ จัดระบบอย่างนี้ ทำให้ได้รู้เร็วขึ้นว่ามีใครบ้างที่ไปเกี่ยวข้องกับคดีในเวลาตี 2 ถึงตี 4 ในคืนเกิดเหตุ และตอนนี้มีวัตถุพยานบางอย่างที่เราเก็บอยู่ แต่เราต้องขอเก็บเป็นความลับ ส่วนกลุ่มผู้ต้องสงสัย 3 คนที่เราส่งตำรวจลงพื้นที่ตรวจสอบในพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี และจังหวัดอื่นๆ เพราะว่าเป็นคนที่ออกจากจุดที่เกิดเหตุมากที่สุดและหายตัวไป" ผบช.ภาค 8 กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อคืนวันที่ 27 ก.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนบก.ภาค 8 ร่วมกับชุดสืบสวน ภ.จว.สุราษฎร์ธานี และศูนย์สืบสวนนครบาล นำกำลังเข้าตรวจค้นแหล่งที่พักของแรงงานชาวพม่าใกล้ที่ว่าการ อ.เกาะพะงัน หลังสืบทราบว่ามีแรงงานชาวพม่า 7 คนลาออกจากโรงแรมย่านหาดทรายรีไป ก่อนจะเกิดเหตุฆาตกรรม 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ และยังไม่ได้ถูกทำประวัติเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอ พบมีชาวพม่า 2 คนวิ่งหนีไปขณะเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้น ซึ่งจะได้ติดตามจับกุมมาสอบสวน เพราะมีพฤติกรรมน่าสงสัย
วันเดียวกัน ที่ศาลาวัดเจริญสันติธรรม ต.เกาะเต่า อ.เกาะพะงัน นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา นาย สุวัตร สิทธิหล่อ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯ พร้อมคณะได้เดินทางเข้าร่วมประชุมกับพล.ต.ท.ปัญญา มาเม่น นายฉัตรป้อง ฉัตรภูติ ผวจ.สุราษฎร์ธานี เจ้าหน้าที่ชุดคลี่คลายคดี ผู้แทนสมาคมการท่องเที่ยวเกาะสมุย เกาะ พะงัน และเกาะเต่า รวมทั้งชาวบ้านเกาะเต่า เพื่อรับฟังปัญหาการท่องเที่ยวในพื้นที่ หลังเกิดเหตุคนร้ายฆ่า 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ
นางกอบกาญจน์เปิดเผยว่า อยากประกาศว่าเหตุการณ์การฆาตกรรม 2 นักท่องเที่ยวนั้นถือเป็นความสูญเสียของคนทั้งประเทศ ไม่ใช่เฉพาะคนในพื้นที่เท่านั้น ต่อจากนี้ต้องมาหาวิธีที่จะทำให้ครอบครัว และเพื่อนผู้สูญเสียพบความสงบด้านจิตใจ ฉะนั้น ข้อเท็จจริงที่ออกไปต้องเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นครอบครัวผู้สูญเสียจะเป็นผู้ได้รับผลกระทบรัฐบาลอยากให้ทุกฝ่าย มั่นใจว่าจะไม่ทำให้คดีนี้ถูกลืม เวลานี้เจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทำงานกันอย่างเต็มที่ ตลอด 24 ชั่วโมงทั้ง 7 วัน เพื่อค้นหาข้อเท็จจริงที่ เกิดขึ้น
นางกอบกาญจน์กล่าวต่อว่า มาตรการป้องการความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว จะเพิ่มกำลังตำรวจท้องที่และตำรวจท่องเที่ยวมากขึ้น และกระทรวงยังมีโครงการพานักท่องเที่ยวกลับที่พัก โดยจะจัดอาสาสมัครพานักท่องเที่ยวที่ไม่สามารถเดินทางกลับที่พักระหว่างท่อง เที่ยวให้กลับที่พักได้ รวมทั้งจัดทำคู่มือนักท่องเที่ยวในแต่ละพื้นที่ และจัดโซนนิ่งพื้นที่งานปาร์ตี้ในสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อความเป็นระเบียบ เรียบร้อย แต่ที่ทำได้เลยคือติดกล้องวงจรปิดในพื้นที่เกาะเต่าเพิ่ม ซึ่งมีงบประมาณดำเนินการได้ทันที หากคดีเข้ารูปเข้ารอยและคลี่คลายได้แล้ว กระทรวง จะเข้ามาจัดกิจกรรมในพื้นที่เกาะเต่าเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักท่อง เที่ยวและฟื้นฟูสภาพจิตใจชาวบ้าน โดยอาจเชิญสื่อจากประเทศอังกฤษมาลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เพื่อสร้างความมั่นใจด้านการท่องเที่ยว
"แนวทางการพัฒนาการ ท่องเที่ยวและป้องกันในพื้นที่เกาะเต่า เกาะสมุย และเกาะพะงัน ในอนาคตต้องนำบทเรียนมาเป็นมาตรการป้องกัน เพราะต้นเหตุของเหตุการณ์คือการเติบโตของการท่องเที่ยว ต้องช่วยกันพัฒนาและรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้นที่ผ่านมาต้อง ยอมรับว่ายังมีปัญหาอยู่ และจะเอาแนวทางที่กำลังเริ่มทำและแนวทางที่กำลังจะทำต่อไปในอนาคตมาร่วมพูด คุยกัน เช่น กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ต้องเพิ่มจำนวนมากขึ้น หรือต้องมีกำลังอาสาสมัครชุมชน 50 คน เหตุการณ์การฆาตกรรมนักท่องเที่ยวไม่ได้ทำให้เกิดผลกระทบกับการท่องเที่ยว แต่อย่างใด แม้หลายฝ่ายอาจมองว่าจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงหลังเกิดเหตุการณ์ แต่จริงๆ แล้วน่าจะมาจากผลกระทบโดยรวมทั้งประเทศมากกว่า ซึ่งสาเหตุก็น่าจะมาจากปัญหาความขัดแย้งทางด้านการเมือง มั่นใจว่าสถานการณ์การท่องเที่ยวกำลังดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง" นางกอบกาญจน์กล่าว
ด้านนายฉัตรป้อง ผวจ.สุราษฎร์ธานีกล่าวว่าปัญหาการท่องเที่ยวบนเกาะเต่า ปัญหาแรกคือการขาดแคลนบุคลากรของรัฐ ในเรื่องการดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินนักท่องเที่ยวและชาว บ้าน ขณะนี้เกาะเต่ามีเจ้าหน้าที่ปลัดอำเภอ 1 นายตำรวจ 5 นาย อส.รักษาดินแดน 2 นาย จึงมีความจำเป็นต้องเพิ่มตำรวจและจัดตั้งเป็นสถานีตำรวจภูธรในระดับตำบล ต่อมาเรื่องไฟฟ้าซึ่งมาจากเครื่องปั่นไฟที่มีอายุการใช้งานกว่า 10 ปีแต่มีโรงแรมกว่า 200 แห่ง ทำให้ไฟฟ้าดับบ่อย การให้แสงสว่างตามจุดอับจุดมืดไม่เพียงพอ
ส่วนที่ จ.ระยอง เวลา 08.00 น. วันเดียวกัน ร.ต.ท.มงคล วิงวอน พงส.สภ.เพ จ.ระยอง รับแจ้งจากชาวประมงว่าพบศพชายชาวต่างชาติลอยอืดอยู่บริเวณหน้าหาดเกาะกุฎี ห่างจากฝั่งบ้านเพประมาณ 10 ก.ม. ใกล้กับเกาะเสม็ด จึงไปตรวจสอบพร้อมแพทย์เวร ร.พ.ระยอง และหน่วยกู้ภัยสว่างพรกุศลระยอง พบศพชายชาวต่างชาติสูงประมาณ 170 ซ.ม. สภาพสวมเสื้อยืดคอกลมสีดำ สวมกางเกงขาสั้นสีดำยี่ห้อเท็กซัส นอนคว่ำหน้าบนชายหาดมีบาดแผลถูกของแข็งทุบบริเวณท้ายทอบจนกะโหลกศีรษะยุบ และตามร่างกายมีร่องรอยถูกทำร้ายเป็นรอยฟกช้ำหลายรอย
ร.ต.ท. มงคลเปิดเผยว่า สอบสวนเบื้องต้นยังไม่พบว่าผู้ตายเป็นใครและสัญชาติอะไร และจากการลงพื้นที่สอบถามผู้ประการและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติบนเกาะเสม็ด แล้วก็ยังไม่ได้ข้อมูล ซึ่งจะได้ประสานไปยังสถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียงว่ามีนักท่องเที่ยวชาวต่าง ชาติหายไปหรือไม่ รวมทั้งตรวจสอบข้อมูลการแจ้งคนหายกับสถานีตำรวจต่างๆ เบื้องต้นส่งศพไปชันสูตรที่สถาบันนิติเวช ร.พ.ตำรวจ ก่อนรีบตรวจสอบว่าผู้ตายเป็นใครเพื่อสอบสวนข้อเท็จจริงต่อไป