ตร.ยังไม่แจ้งข้อหาคนขับเฟอร์รารี่ซิ่งชนท้ายเก๋ง เหตุรักษาตัวผ่าตัดข้อมือหัก ด้านบิดาคนขับ รับลูกชายผิดจริง ขอรับผิดชอบค่ารักษาคู่กรณีพร้อมชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมด
31 ต.ค. 56 จากกรณีมีรถเก๋งสปอร์ตเฟอร์รารี่ สีเหลือง ทะเบียน ฐน 355 กรุงเทพมหานคร
ซึ่งมีนายเกรียงศักดิ์ สุริยบูรพกูล อายุ 33 ปี เป็นผู้ขับ และมีเอกภัทร พรประภา อายุ 34 ปี นั่งอยู่ด้วย ได้ขับพุ่งชนท้ายรถเก๋งฮอนด้า รุ่นซิตี้ สีขาว ทะเบียน กน 7747 นครสวรรค์ ของ น.ส.วราภรณ์ ศรีลออ อายุ 23 ปี จนได้รับบาดเจ็บศีรษะกระแทกพวงมาลัยรถ ส่วน 2 รายแรก บาดเจ็บเล็กน้อย เจ้าหน้าที่นำผู้บาดเจ็บทั้ง 3 รายส่ง รพ.บำรุงราษฎร์ เหตุเกิดเมื่อช่วงกลางดึก วันที่ 30 ต.ค.ที่ผ่านมา
ล่าสุด เมื่อเวลา 10.00 น.วันนี้ (31 ต.ค.) พ.ต.ท.วีระชัย ปฤษฎางคเดชา พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ (หัวหน้าพนักงานสอบสวน) สน.บางโพงพาง
เปิดเผยความคืบหน้ากรณีดังกล่าว ว่า เมื่อช่วงเย็นวานนี้ ร.ต.ท.สุพจน์ แก้วเจริญ พนักงานสอบสวน เจ้าของคดี ได้เดินทางไปสอบปากคำคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่ายเพิ่มเติมที่ รพ.บำรุงราษฎร์ โดยทาง น.ส.วราภรณ์ ที่ยังคงอยู่ในอาการบาดเจ็บศีรษะบวมปูด และข้อมือได้รับบาดเจ็บ ได้ให้การกับทางเจ้าหน้าที่ตามเดิม ส่วนนายเกรียงศักดิ์ ซึ่งได้รับบาดเจ็บที่ข้อมือขวาหัก ทางแพทย์ต้องทำการผ่าตัด ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถให้การกับเจ้าหน้าที่ได้ ส่วนนายเอกภัทร ซึ่งได้รับบาดเจ็บหัวเข่าถลอกเล็กน้อย ทางแพทย์อนุญาตให้เดินทางกลับบ้านได้ตั้งแต่หลังเกิดเหตุไม่นาน
พ.ต.ท.วีระชัย กล่าวต่อว่า ขณะที่นายสมศักดิ์ สุริยบูรพกูล อายุ 67 ปี บิดาของนายเกรียงศักดิ์ ได้ยืนยันกับทางเจ้าหน้าที่ว่า
ลูกชายเป็นผู้กระทำความผิดจริง และขอรับผิดชอบทุกกรณี ไม่ว่าจะเป็นการชดใช้ค่าเสียหายรถยนต์ และค่ารักษาพยาบาลของ น.ส.วราภรณ์ ซึ่งเบื้องต้นได้นำตัวมารักษาใน รพ.เอกชน ชื่อดังที่ดีที่สุดอีกด้วย โดยหลังจากนี้ทางพนักงานสอบสวนต้องรอให้ทางนายเกรียงศักดิ์ หายจากอาการบาดเจ็บ จึงจะเชิญตัวมาสอบปากคำเพิ่ม และแจ้งข้อกล่าวหา รวมทั้งนายเอกภัทร ทางเจ้าหน้าที่จะเชิญตัวมาสอบปากคำในฐานะพยานในที่เกิดเหตุอีกด้วย นอกจากนี้ ทางเจ้าหน้าที่จะทำการประสานขอภาพจากกล้องวงจรปิดที่เกิดเหตุ เพื่อนำมารวบรวมไว้เป็นหลักฐาน ก่อนแจ้งข้อกล่าวหาต่อไป
พ.ต.ท.วีระชัย กล่าวอีกว่า สำหรับการแจ้งข้อกล่าวหา ขณะนี้ทางพนักงานสอบสวนยังไม่ได้แจ้งข้อหาแก่ทางนายเกรียงศักดิ์ แต่อย่างใด
ซึ่งข้อหาทางอาญาที่จะต้องแจ้งอย่างแน่นอนนั้น คือ ข้อหา "ขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ โทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับไม่เกิน 1,000 บาท" ซึ่งข้อหาดังกล่าวต้องขึ้นอยู่กับอาการ หรือวันที่ทำการรักษา หากทำการรักษาที่ รพ.เกินกว่า 20 วันขึ้นไป จะเข้าข่ายข้อหา "ขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6,000 บาท" ทันที ส่วนข้อหานอกเหนือจากนี้ คือ ข้อหาตามฐานความผิด พ.ร.บ.จราจร ซึ่งต้องทำการพิจารณากันต่อไป ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน ทั้งทางผลการตรวจจากแพทย์ผู้ที่ทำการรักษาผู้เสียหาย รวมทั้งภาพจากกล้องวงจรปิดที่เกิดเหตุ ว่ามีการขับแข่งขันกันหรือไม่ ก่อนที่จะทำการแจ้งข้อกล่าวหา