เจาะเลือด:สงครามครั้งสุดท้าย ?

 

คมชัดลึก : การตัดสินใจนำม็อบเสื้อแดงเคลื่อนที่ไปปิดล้อมกรมทหารราบที่ 11 แม้จะรู้ดีว่า ต่อให้ปิดสกัดอย่างไร รัฐบาลก็ไม่มีวันยุบสภา อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ได้ยี่หระต่อข้อเรียกร้อง แต่เป็นยุทธศาสตร์ของม็อบที่จะต้องเคลื่อนไหว นั่นเป็นเรื่องราวที่พอเข้าใจได้

 ส่วนการปิดล้อมแล้วเหตุการณ์หลังจากนั้นจะเป็นอย่างไร นั่นต่างหากที่หลายฝ่ายกังวล โดยเฉพาะฝ่ายตั้งรับอย่างรัฐบาล ที่ทำงานผ่าน ศอ.รส.


 เพราะชัดเจนว่า ด้วยกำลังคนจำนวนมากเมื่อเทียบกับพื้นที่รองรับซึ่งเป็นถนนพหลโยธิน ประกอบกับเป็นพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่น ความเดือดร้อนของชาวบ้านจากการสัญจร และการทำมาหากิน โอกาสที่จะเกิดเหตุไม่คาดฝันมีขึ้นได้ทุกเมื่อ


 ถึงแม้จะมีคำสั่งจากศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) กำชับมาว่า ให้เปิดพื้นที่ เปิดถนนให้ม็อบเสื้อแดงอย่างเต็มที่ เพราะเชื่อว่า หากไม่มีสิ่งยั่วยุความรุนแรงก็คงจะไม่เกิดขึ้น ยิ่งเชื่อมั่นว่า "ฝ่ายเสนาธิการ" ของกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ได้บัญชาเกมอย่างใกล้ชิด หากแต่อยู่ต่างแดน ก็เชื่อว่า การขับเคลื่อนของเสื้อแดงจะไม่เป็นขบวนไหลลื่น


 แม้ไม่ได้คาดคิดแต่แรกว่าระหว่างที่แดงกำลังปิดล้อม ราบ 11 อยู่ และแกนนำกำลังขึ้นปราศรัยอย่างเมามันนั้น จะเจอกับมุกทหารยุคดิจิทัลเอาเครื่องเสียงมาเปิดแข่งจนกลบเสียงแกนนำ จะส่งผลจนถึงกับทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนยุทธวิธีแบบฉับพลัน


 จากที่เคยวางแผนไปล้อมพรรคประชาธิปัตย์ ล้อมบ้านกษิต ภิรมย์ และบ้านอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็กลายมาเป็นเจาะเลือดผู้ชุมนุมให้ได้ 1 ล้านซีซี เพื่อเอาไปเทหน้าทำเนียบไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์


 "ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" ที่ไม่รู้ว่าโทรศัพท์คุยกับใคร พอวางหูเสร็จประกาศก้องว่า นี่คือการยกระดับการชุมนุม


 ทำเอาแกนนำม็อบระดับย่อยงงเป็นไก่ตาแตก


 ค่าหยาดเหงื่อที่เดินทางมาฝ่าแดดร้อนร่วม 3 วัน 2,000 ว่าถูกเสียยิ่งกว่าถูกแล้ว นี่ยังจะมาขอเลือดกันอีกหรือ ?


 แกนนำทั้งหลายไม่เพียงแต่งง แต่แปลกใจ เพราะนี่ถือว่าเป็น "มาตรการต่อรองที่ต่ำชั้น" เกินความคาดหมาย


 แต่ถามไปถามมาได้ความว่า เป็นแนวคิดของ "นายใหญ่" ก็ได้แต่ก้มหน้ายอมรับทั้งที่ในใจตะโกนก้องว่า...ทำไม ?


 ขนาดระดับแกนนำย่อยของเสื้อแดงยังคิดได้ขนาดนี้ มีหรือที่ฝ่ายเสนาธิการของ ศอ.รส.จะไม่ทันคิด...ปฏิบัติการรุกกลับจึงเกิดขึ้น


 กองพันปฏิบัติการจิตวิทยา กรมรบพิเศษที่ 2 หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ จ.ลพบุรี ถูกมอบหมายงานนี้ ด้วยการส่งคนลงปะปนกับกลุ่มผู้ชุมนุม ชี้ให้เห็นถึงผลเสียที่อาจติดเชื้อ และอาจทำให้ถึงตายได้


 เชื่อว่าผลจากเรื่องนี้ น่าจะลดทอนกำลังของผู้ชุมนุมได้ในระดับหนึ่ง


 นอกเหนือจากเรื่องเอ็ม 79 ที่มือมืดยิงเข้าไปที่ ร.1 พัน. 1 รอ. แม้ว่าที่นั่นจะมีบ้านพักของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.อยู่ แต่อานุภาพของเอ็ม 79 ก็สร้าง "ความกลัว" ปกคลุมให้แก่กลุ่มผู้ชุมนุมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


 เพราะต่างก็รู้กันดีว่า "แดงฮาร์ดคอร์" ในวันนี้ ไม่รู้อยู่ไหน และยังเป็นแดงอยู่หรือไม่ หรือจะฉวยจังหวะนี้สร้างสถานการณ์เพื่อให้รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน...ถ้าเป็นเช่นนี้ เหยื่อเอ็ม 79 รายต่อไปจะเป็นใคร ?


 ในขณะเดียวกัน ท่าทีรวมทั้งแผนการของแกนนำม็อบก็ไม่ได้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า "ชัยชนะ" นั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ดูเหมือนยิ่งชุมนุมจุดหมายก็ยิ่งห่างไกลออกไป


 เจาะเลือดไปเทไล่ ถ้ารัฐบาลไม่สนก็ไม่รู้ว่าจะต้องเจาะจนเลือดหมดตัวกันเลยหรือ

 แต่สำหรับหน่วยงานด้านความมั่นคงแล้ว แค่มุก "ไม่รุนแรง สงบ สันติ" ครั้งนี้ น่าจะเป็นเพียงหน้าฉากของจอมวางแผน เบื้องหลังสายตาน่าสงสารอาจซ่อนยาพิษเอาไว้กำนัลให้แก่คนที่ตายใจ


เพราะชัดเจนว่า เงื่อนไขให้ยุบสภานั้น ถูกรัฐบาลนี้ปฏิเสธมาแล้วไม่รู้กี่หน และการชุมนุมก็เกิดขึ้นในลักษณะนี้มาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง


 เม็ดทรายในกรวยนาฬิกาของ "นายใหญ่" ไม่เหลือจำนวนมากพอที่น่าจะรอ หรือปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินไปตามครรลอง ทั้งในเรื่องคดีความ และเรื่องการติดต่อประเทศที่ยังไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับไทย


 การเชิญให้ออกจากดูไบไปหมาดๆ คือตัวอย่างที่ชัดเจน


 แต่เมื่อพ้นจากดูไบแล้ว การเดินทางมายังกัมพูชานับจากนี้ไป ก็ไม่มีชั้นความลับอีกต่อไปแล้ว เมื่อไทยเชื่อมเครือข่ายประเทศในภูมิภาคได้หมดแล้ว


 ทั้งหมดนี้ทำให้เชื่อว่า สงครามครั้งสุดท้ายของ "นายใหญ่" ต้องไม่ใช่จบลงที่การเจาะเลือด(แน่นอนไม่ใช่ของนายใหญ่และคนในตระกูล) ในเมื่อรู้ดีว่า หนทางกลับมาเมืองไทยนั้นปิดตายลงแล้ว ขุนพลที่ต่อสู้ให้ก็กำลังอ่อนล้า ทั้งกำลังใจและกำลังกาย


 การทุ่มทุนทำสงครามครั้งสุดท้ายน่าจะเป็นเรื่องที่ว่า "ถ้าข้าไม่พ้นมลทิน ก็อย่าได้คิดว่าจะมีใครเสวยสุข" เสียมากกว่า
เป็นสัญลักษณ์ที่รุนแรง


 "สมชัย ศรีสุทธิยากร" อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่ามาตรการเจาะเลือดนั้น แนวทางปฏิบัติ ทำได้ยาก เพราะถ้าไม่มีแพทย์มาดูแลอาจเกิดปัญหาต่อสุขอนามัยของผู้ชุมนุม และอาจมีปัญหาเรื่องความพร้อมด้านสุขภาพของผู้ชุมนุม และการนำเลือดไปเททิ้งไม่เกิดประโยชน์และเป็นสัญลักษณ์ที่รุนแรง


 การที่ผู้ชุมนุมอ้างว่ามาชุมนุมเพื่อทวงคืนประชาธิปไตย แต่ยังมีการชูภาพของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีการโฟนอิน สร้างความหวาดระแวงว่าการชุมนุมดังกล่าวไม่ใช่เพื่อประชาธิปไตย แต่ทำเพื่อบุคคล ดังนั้นต้องไม่นำภาพมาชูและห้ามพ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอิน


 ปัญหาระหว่างรัฐบาลกับคนเสื้อแดงจะจบศึกแต่ไม่จบสงคราม ไม่รู้ว่าจะเกิดความเสียหมายแค่ไหน แต่ไม่มีใครชนะ


 ส่วนแนวทางการเจรจา ยังไม่ปิดตาย แต่ข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมสูงเกินกว่าที่จะเจรจากันได้ และทั้งสองฝ่ายไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะพูดคุยกันได้ ต่างต้องการเอาชนะ และดูว่าใครจะอดทนมากกว่ากัน


 สมถวิล เทพสวัสดิ์ / ทีมข่าวความมั่นคง


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์