ผู้นำศาสนาร่ำไห้หน้ามาร์ค เสียใจตัวแทนท้องถิ่น3จว.ใต้ถูกขึ้นบัญชีดำ ลั่นเป็นลูกพ่อไม่ทำร้าย-ทรยศ-กบฏ


ผู้นำศาสนาปล่อยโฮกลางวงสัมมนาต่อหน้า "มาร์ค" เสียใจตัวแทนท้องถิ่น 3 จว.ชายแดนภาคใต้ถูกตร.ขึ้นบัญชีดำ บอกเป็นลูกพ่อ ไม่ทำร้าย ไม่ทรยศ ไม่เคยคิดกบฏ ชาวบ้านสนับสนุนยึดหลักศาสนาพัฒนาแก้ปัญหายั่งยืน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันที่ 20 มิถุนายน ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ร่วมสัมมนาเรื่อง "การเสริมสร้างและการเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจในการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข"ซึ่งมีผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ปกครองท้องที่ และผู้นำศาสนาเข้าร่วมกว่า 700 คน ที่อาคารรัฐสภา

โดยผู้นำศาสนาคนหนึ่งได้ลุกขึ้นบรรยายสภาพปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหา พร้อมให้กำลังใจนายกรัฐมนตรีในการแก้ไขปัญหา และขอให้นายกรัฐมนตรีมั่นใจ มั่นคง ต่อสู้เพื่อความถูกต้อง และน้อมนำเอากระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาใช้ ขอให้รัฐบาลเข้าใจจริงๆ เข้าถึงจริงๆ และร่วมกันพัฒนาเพื่อคืนความสงบให้พื้นที่

ระหว่างนั้นเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เมื่อผู้นำศาสนาคนดังกล่าวร่ำไห้กลางสภา ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า "เราทำงานด้วยจิตวิญญาณ บางคนเป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบจ. เทศบาล เป็นผู้นำศาสนา แต่บางครั้งมีรายชื่อไปอยู่ในมือตำรวจด้วย จึงอยากฝากนายกรัฐมนตรีไปดูตรงนี้ ทั้งๆ ที่เราเป็นลูกของพ่อ อาจมีดีบ้าง ไม่ดีบ้าง อาจมีน้อยใจบ้างที่ได้รับการดูแลไม่เท่าคนอื่น แต่ไม่มีใครลุกขึ้นไปทำร้าย ไปทรยศพ่อ เราไม่เคยเป็นกบฏ ไม่เคยคิดทำร้ายประเทศไทยที่เป็นบ้านเกิดของเรา เราพร้อมรับและเทิดทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เราอยากให้พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้สงบสุข"

ด้านนายอภิสิทธิ์กล่าวว่า รัฐบาลเชื่อว่าคนที่มุ่งร้ายเป็นคนส่วนน้อยจริงๆ และคนเหล่านั้นต้องถูกดำเนินการตามกฎหมาย แต่ในทางตรงข้ามคนส่วนใหญ่ของพื้นที่ก็ถูกกดดัน ดังนั้น ขอให้สบายใจและมั่นใจว่ารัฐบาลจะใช้ความตรงไปตรงมา และใช้กระบวนการยุติธรรมในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริงต่างๆ โดยคำนึงถึงสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน ทั้งนี้จะนำสิ่งที่ผู้นำศาสนาสะท้อนมาไปแจ้งให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ดี

"ขอยืนยันว่ารัฐบาลไม่มีนโยบายในการใช้ความรุนแรงหรือละเมิดสิทธิของประชาชนโดยเด็ดขาด ถ้ามีความรุนแรงจากภาครัฐก็คือปฏิบัติการเพื่อรักษากฎหมายเท่านั้น แต่กรณีไปทำร้ายประชาชนจะไม่ให้มีอย่างเด็ดขาด ถ้ามีเจ้าหน้าที่รัฐคนไหนทำเช่นนั้นต้องถูกลงโทษ" นายอภิสิทธิ์กล่าว และว่า รัฐบาลกำลังเร่งรัดคดีที่อยู่ในความความสนใจของประชาชนทั้งประเทศ เพื่อนำตัวคนกระทำความผิดมาลงโทษให้ได้ และแนวทางแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ของรัฐบาลคือการเอาความยุติธรรมขึ้นมาแก้ปัญหา

วันเดียวกันที่ศูนย์เยาวชนเทศบาลนครยะลา เครือข่ายชุมชนศรัทธาจัดงานมหกรรมชุมชนศรัทธา "กัมปงตักวา" ใช้หลักศาสนาสร้างการพัฒนาโดยชุมชน มีชาวบ้านในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ 130 หมู่บ้านกว่า 3,000 คนร่วมงาน ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี บันทึกเทปวีดิทัศน์ถึงชาวบ้าน โดยระบุว่าทุกคนคงเหมือนตนคืออยากเห็นความสงบสุขเกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งตนเชื่อมาโดยตลอดว่า แนวทางในการแก้ไขปัญหาคือเรื่องความยุติธรรมและการสร้างโอกาสนั้นหมายถึงการเคารพในสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า ทำอย่างไรให้ประชาชนในพื้นที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ซึ่งตนมีโอกาสเข้ามาบริหารบ้านเมือง และกำลังปรับนโยบายทุกอย่างเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาสู่แนวทางนี้ เป็นที่น่ายินดีคือตนได้ทราบว่ามีชาวบ้านที่นั่งอยู่ตรงนี้เชื่อมั่นในแนวทางนี้และจุดประกายให้ประชาชนในพื้นที่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในโครงการดีๆ หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นงานด้านสวัสดิการหรือการดูแลสิ่งแวดล้อม รวมถึงการพัฒนาต่างๆ ให้เป็นไปตามความต้องการของประชาชนในชุมชนอย่างแท้จริง

"ผมเชื่อมั่นว่าแนวทางนี้จะนำไปสู่ความสงบสุขและสันติสุขในพื้นที่ได้ แต่พี่น้องทุกคนต้องมีส่วนร่วมตรงนี้ ผมขอเป็นกำลังใจที่พี่น้องมีความคิดริเริ่มและกล้าที่จะเดินหน้าทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ผมหวังว่าวันข้างหน้าจะมีโอกาสเข้าไปเยี่ยมและสัมผัสถึงผลงานของพี่น้อง" นายอภิสิทธิ์กล่าว

จากนั้นมีการเสวนาเรื่อง "ชุมชนศรัทธา ทางรอดของการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้"ผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วยผู้นำ 4 เสาหลักในหมู่บ้าน คือ โต๊ะอิหม่าม ผู้ใหญ่บ้าน องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) และผู้นำธรรมชาติ มาจากหมู่บ้านสีแดงและหมู่บ้านทั่วไปทั้งไทยพุทธและมุสลิม ทั้งหมดเห็นพ้องกันว่า หากใช้หลักศาสนานำในการพัฒนาตามแนวทางชุมชนศรัทธาจะทำให้ชุมชนมีโอกาสรอดพ้นจากวิกฤตความรุนแรงที่ดำเนินอยู่

โดยนายสะแลแม อาแวนิ นักวิชาการสาธารณสุข กล่าวว่า หากชาวบ้านร่วมกันแก้ปัญหาจะมีทางรอด ที่ผ่านมาเกิดความสับสนในหมู่บ้าน เพราะหาผู้นำในการแก้ไขปัญหายากเนื่องจากกลัวว่าจะไปขัดขวางบางอย่าง ทำให้ผู้นำองค์กรในหมู่บ้านไม่สามารถทำตามความต้องการของประชาชนและของตัวเองได้ ทำให้ลูกบ้านเกิดความสับสนและไม่รู้จะพึ่งพิงใคร สุดท้ายจึงเกิดความไม่เข้าใจซึ่งกันและกัน

นางนุชรีย์ อับดุลกานาน แกนนำองค์กรบ้านกอตอตือระ อ.รามัน จ.ยะลา กล่าวว่า เมื่อศาสนาอ่อนแอทำให้สิ่งชั่วร้ายเข้ามาง่าย ที่เห็นชัดเจนคือ ระบบทุนนิยมจากในเมืองเข้ามาในหมู่บ้าน ทำให้เกิดความเห็นแก่ตัวและให้ความสำคัญกับวัตถุนิยมมากกว่า

นายมาละเซ็ง เจะเตะ กล่าวว่า อยากบอกรัฐบาลถ้ามีความจริงใจแก้ปัญหาภาคใต้ควรสนับสนุนแนวทางของชุมชนศรัทธา ซึ่งไม่ได้เน้นงบประมาณ แต่เน้นกิจกรรมการทำงานร่วมกันระหว่างชาวบ้านกับ 4 เสาหลัก น่าจะขยายให้ครอบคลุม 170 หมู่บ้าน และรัฐบาลอาจสนับสนุนงบประมาณหมู่ละ 1 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินเพียง 170 ล้านบาท ถือว่าไม่มากแต่ได้ผลน่าสนใจกว่ามาก และมีตัวอย่างให้เห็น

นายยะโก๊ะ มิหนา โต๊ะอีหม่ามบ้านสามยอด อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลทุ่มเทงบประมาณให้ชุมชนมากแล้ว เช่นกองทุนหมู่บ้านละ 1 ล้าน แต่ล้มเหลวและหายหมด จึงอยากให้ลองใหม่ หากทุ่มให้ 4 เสาหลักมาดำเนินการ จะเห็นความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแน่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงบ่ายมีกิจกรรมที่น่าสนใจคือการบรรยายธรรมของผู้นำศาสนามุสลิมสายเก่าและสายใหม่คือ ดร.อิสมาอีลลุตฟี จะปะกียา อธิการบดีมหาวิทยาลัยอิสลามยะลา และนายมูฮัมมัด อาดำ โต๊ะครูผู้ทรงคุณวุฒิ รวมทั้งพระครูปัญญา ทนากร เจ้าอาวาสวัดตันติการาม อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส และชาวมุสลิมที่มาร่วมงานกว่า 3,000 คน ร่วมกันละหมาดฮายัด


เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์