สปส.เชื่อไทยพ้นวิกฤตศก. ตกงานแค่ 2 แสน ทีดีอาร์ไอจวกลดเงินสมทบหวังหาเสียง


เลขาฯ สปส.ประเมินไทยพ้นวิกฤตเศรษฐกิจแล้ว ตัวเลขผู้ประกันตนออกจากระบบไม่สูง แค่ตกงาน 2 แสนคน น้อยกว่าปี 2540 "ทีดีอาร์ไอ"จวกรัฐลดเงินสมทบ แค่หวังหาเสียง-ทำลายวินัยลูกจ้าง

นายปั้น วรรณพินิจ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) เปิดเผยถึงสถานะของกองทุนประกันการว่างงาน เมื่อวันที่ 20 มิถุนายนว่า ขณะนี้มีเงินสะสมมาตั้งแต่ปี 2547 อยู่ประมาณ 3.9 หมื่นล้านบาท ในปีนี้คาดว่าจะเก็บเงินสมทบได้กว่า 8 พันล้านบาท แต่น้อยกว่าปีที่ผ่านมาราว 1 พันล้านบาท เนื่องจากตอนนี้มีจำนวนผู้ประกันตนออกจากงาน 2-3 แสนคน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ได้จ่ายสิทธิประโยชน์กรณีว่างงานในช่วง 4 เดือนแรกของปีไปแล้ว 1.3 พันล้านบาท คาดว่าตลอดทั้งปีจะต้องจ่ายทั้งหมดราว 5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่จ่ายตลอดทั้งปีประมาณ 2.4 พันล้านบาท ขณะนี้ถือว่า สถานการณ์กองทุนประกันว่างงานไม่น่าเป็นห่วงแล้ว เดิมทีประเมินว่าหากมีคนตกงาน 1 ล้านคน จะเก็บเงินสมทบกรณีว่างงานทั้งปีได้ 6-7 พันล้านบาท ซึ่งอาจไม่พอจ่ายผู้ตกงานที่คาดว่าต้องใช้เงินถึง 1 หมื่นล้านบาท แต่ตอนนี้สถานการณ์ดีขึ้นแล้ว คงไม่ต้องควักเงินสะสมมาใช้

เลขาธิการ สปส. กล่าวว่า ขณะนี้กำลังลุ้นอยู่ว่าวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้จะทำให้คนตกงานน้อยกว่าวิกฤตปี 2540 ซึ่งครั้งนั้นมีผู้ประกันตนต้องออกจากงานถึงกว่า 7 แสนคน ส่วนเรื่องการปรับปรุงระบบในการบริการผู้ว่างงานนั้น ขณะนี้ สปส.และกรมการจัดหางานได้เชื่อมต่อข้อมูลกันอย่างสนิทโดยนำความต้องการของสถานประกอบการหรือนายจ้างที่ต้องการคนงานมาสอดประสานกับคนที่ตกงาน ในทุกๆเดือนที่คนตกงานมารายงานตัวจะสอบถามถึงเรื่องงานใหม่ 

ดร.วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ ผู้อำนวยการวิจัยด้านหลักประกันสังคม สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวถึงกรณี สปส.เตรียมลดจำนวนเงินสมทบ ซึ่งส่งผลให้กองทุนประกันสังคมขาดรายได้ไปกว่า 1 หมื่นล้านบาทว่า เรื่องนี้เป็นนโยบายหาเสียงโดยเฉพาะโดยภาครัฐไม่ต้องควักกระเป๋าเพิ่มเลย แต่มีผลให้เงินกองทุนลดลง แรกทีเดียวรัฐตั้งใจว่าจะลดในส่วนของกองทุนชราภาพด้วย แต่พอลูกจ้างโต้แย้งก็ไปเอาในส่วนของการรักษาพยาบาลลดลงแทน ถามว่าจะกระทบต่อผู้ประกันตนหรือไม่ แม้ในช่วง 2 ปีนี้จะไม่มีปัญหาในเงินกองนี้ แต่การดำเนินการเช่นนี้ของภาครัฐมีความเหมาะสมหรือไม่ เพราะแทนที่จะเอาเงินก้อนนี้ไปขยายสวัสดิการให้ลูกจ้าง แต่กลับเอาไปหาเสียง

"การลดเงินสมทบครั้งนี้ มันไม่ได้แก้ปัญหาอะไรเลย แต่เป็นการหาเสียงอย่างเดียว ไม่ใช่ว่าผู้ประกันตนไม่มีปัญญาจ่าย เขายังอยากจ่ายและเป็นวินัยจ่ายเงินสมทบ แต่รัฐกลับไปทำลายวินัยเสียเอง ที่สำคัญเป็นการเอื้อประโยชน์ให้นายจ้างมากกว่าลูกจ้าง สุดท้ายคนแย่ที่สุดคือลูกจ้าง การที่รัฐอ้างว่าเป็นการช่วยเหลือให้สถานประกอบการอยู่ได้นั้น จริงๆ แล้วการลดเงินส่วนนี้ถือว่าน้อยมาก แทบไม่มีผลต่อการตัดสินใจเลิกจ้างงานเลย" ดร.วรวรรณ กล่าว 

ดร.วรวรรณ กล่าวว่า แม้สถานะของกองทุนประกันสังคมในระยะสั้นไม่น่าเป็นห่วง เพราะมีเงินสะสมอยู่มาก แต่ระยะยาวน่าเป็นห่วงโดยเฉพาะกองทุนชราภาพ เพราะเมื่อเริ่มมีการจ่ายบำนาญ จะทำให้เงินไหลออกอย่างรวดเร็ว ในปี 2572 กองทุนจะเริ่มติดลบ และจะติดลบเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และจะเป็นภาระหนักของรัฐบาลช่วงนั้น กระทรวงการคลังต้องคิดเรื่องนี้ให้ดี แม้รัฐบาลยุคนี้อาจไม่ต้องคิดอะไรมาก เพราะถึงตอนนั้นไม่รู้ว่าใครจะเป็นรัฐบาล ขณะที่ตัวผู้ประกันตนเองต้องคิดให้มาก เพราะไม่รู้ว่ากว่าจะถึงช่วงเกษียณนั้น ยังมีเงินกองทุนให้อยู่หรือไม่

ดร.วรวรรณกล่าวว่า จริงๆ แล้ว สปส.ควรต้องปรับวิธีการจ่ายเงิน แทนที่จะจ่ายเป็นบำนาญซึ่งเป็นการดึงเอาเงินทั้งหมดมาใช้ น่าเปลี่ยนเป็นระบบบำเหน็จหรือเงินก้อน ซึ่งเป็นการจ่ายตามเงินสะสมของแต่ละคน หรือกระเป๋าใครกระเป๋ามัน ที่สำคัญคือหากจ่ายด้วยวีธีการใหม่นี้ นักการเมืองเองไม่สามารถล้วงเอาเงินไปใช้ได้ แตกต่างจากระบบปัจจุบันที่เงินทั้งหมดถูกกองรวมไว้ตรงกลาง หากหายไปเพียง 100-200 ล้าน ก็ไม่มีใครรู้ เมื่อเทียบกับกองทุนเป็นแสนล้าน เพราะตัวเลขทางบัญชีไม่โผล่ แต่เชื่อว่า สปส.คงไม่ยอมแก้ระบบจ่ายใหม่ เพราะทุกวันนี้สามารถใช้เงินได้อย่างสะดวก

เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์