คำต่อคำสนธิเปิดใจแถลงข่าว ยันปักใจฝีมือ ทหารแตกแถว

เมื่อเวลา 12.40 น. ที่บ้านพระอาทิตย์ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เปิดแถลงข่าวกรณีถูกลอบยิง เมื่อวันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา ความว่า
 
"ท่านสื่อมวลชนที่เคารพ เมื่อวันศุกร์ (1 พ.ค.) เผอิญผมเป็นไข้ เพราะแผลบนศรีษะยังไม่หายดี เย็บไป 43 เข็ม ผลข้างเคียงบนสมองไม่มี เพราะเศษกระสุนไม่ได้เข้าไป วันนี้ผมจะมาพูดจาเรื่องราวทั้งหมด แบ่งเป็น 4 ประเด็น ได้แก่  1.การลอบสังหาร และมิติ นัยยะในการลอยบสังหาร 2.กลุ่มคนผู้ใดบ้างเป็นผู้กระทำ 3.จากนี้ไปผมจะทำอะไรต่อไป จุดยืนอยูที่ไหน และอาจจะแถมอันสุดท้ายว่า การเมืองเมืองไทยต่อจากนี้ไปเป็นอย่างไร จากนั้นขอตัวให้แกนนำทั้งหลายแถลงการประชุมวันนี้

การลอบสังหารผมเมื่อวันที่ 17 เม.ย. 2552 มีอยู่ 2 มิติ เป็นมิติที่สำคัญมากคือการลอบสังหารผมในฐานะเป็นสื่อมวลชน

ที่ตื่นมาแล้วออกไปทำหน้าที่โดยสุจริต เที่ยงตรง ตรงไปตรงมา รักษาผลประโยชน์โดยส่วนรวม และมิติที่ 2 คือการลอบสังหารเพราะผมเป็นหนึ่งในแกนนำมวลชนซึ่งเป็นภาคประชาชน ทั้งสองอย่างเป็นมิติที่อุกอาจ โหดเหี้ยม อำมหิต กระทำโดยคนมีอำนาจและมีหน้าที่จะต้องปฏิบัติ


การทำร้ายของในฐานะสื่อเป็นกระบวนการคุกคามสื่อที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ไทย

เพราะลักษณะการลอบสังหารนั้นไม่ใช่แบบเรื่องส่วนตัว ไม่ใช่ลอบสังหารผู้สื่อข่าวต่างจังหวัด ที่มีผลประโยชน์หรือไปขัดผลประโยชน์ของคนในจังหวัด แต่เป็นการส่งสัญญาณไปให้หลายฝ่าย  รวมไปถึงนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ด้วยว่า ถ้าสนธิตายได้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะก็ตายได้ และมีนัยยะเลยไปกว่านายกฯด้วย ว่าในประเทศนี้ถ้าใครมีอำนาจ มีปืน ร่วมมือกันนึกจะทำอะไรก็ย่อมทำด้ นัยยะของการเป็นสื่อมวลชนนั้น ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ไทย เพราะฉะนั้นแล้วการทำเช่นนี้นอกจากโหดเหี้ยม อำมหิตแล้ว ยังอุกอาจ และไม่คำนึงเลยว่าเมื่อทำแล้วประเทศไทยจะยืนอยู่ได้อย่างไร คนในวงการสื่อมวลชนจะยืนอยู่ได้อย่างไร สังคมไทยจะยืนอยู่ได้อย่างไร


ส่วนการคุกคามในฐานะแกนนำภาคประชาชน ก็เป็นนัยยะที่ส่อให้เห็นว่าภาคประชาชน ก็เป็นนัยยะที่ส่อให้เห็นว่าภาคประชาชนที่ออกมาเรียกร้องความถูกต้อง

เรียกร้องให้มีความโปร่งใส เป็นอันตรายต่อกลุ่มอำนาจเก่า หรือกลุ่มอำนาจที่เข้ามาใหม่ เพราะฉะนั้นแล้วการลอบสังหารผมนั้น หากทำสำเร็จก็จะทำให้ผู้นำสื่อมวชน ผู้นำมวลชน แกนนำทั้งหลายเกรงกลัว เป็นการข่มขู่ที่สามารถล้มรูปแบบการต่อสู้ที่เปิดเผย เท่ากับยิงนกนัดเดียวได้หลายตัว ในทางอ้อมเป็น 1.การข่มขู่นายกฯ 2.ขู่สื่อมวลชนที่กล้าพอออกมาพูดความจริง โดยที่ไม่หวั่นเกรงอะไร และควบคุมให้วงการสื่อมวลชนอยู่ใต้อำนาจของความป่าเถื่อน และสร้างความชอบธรรมให้กับขบวนการป่าเถื่อน 3.ข่มขู่ภาคประชาชน ไม่จำเป็นเสื้อเหลือง รวมไปถึงเสื้อแดงด้วย หรือสีอะไรก็ได้ ว่าถ้าเรียกร้องมากนัก หรือมีจุดยืนที่ไม่เปลี่ยนแปลงก็เอาความตายไปแล้วกัน แล้วดูสิว่าจะสู้ต่อไปไหม ฉะนั้น มิติและนัยยะของการลอบสังหารเมื่อ 17 เมษายนก็มีดังนี้


ข้อที่ 2.กระบวนการลอบสังหารนั้นเกิดขึ้นจากใคร ก่อนตอบคำถามนี้มาดูพฤติกรรมและรูปแบบก่อน ที่บอกว่าไม่เคยมีครั้งใดในประวัติศาสตร์ไทยเหมือนเช่นนี้ คือการใช้อาวุธสงครามล้วนๆ การยิงด้วยปืนอาก้า ปืนเอ็ม 16 และตามด้วยเอ็ม79 อีก 2 ลูกที่ไม่ระเบิดออกมานั้น และลักษณะการยิงซึ่งผมเห็นชัด ด้วยสายตาผมเองเป็นการยิงจากคนที่ฝึกฝนมาให้ใช้อาวุธประเภทนี้โดยเฉพาะ เพราะว่าคนที่นั่งอยู่ท้ายรถกระบะ ห่างจากรถผมไปไม่ถึง 15-20 เมตร ท่านั่งประทับยิง ผมยังจดจำอยู่ในสายตาเลย เป็นท่าการฝึกยิงของทหารอย่างเห็นได้ชัด เพราะฉะนั้นแล้วด้วยเหตุนี้ ประกอบกับองค์ประกอบหลายประการ การยิงผมนั้นใช้กระบวนรถ 4 คัน และเท่าที่ทราบมีคนที่เข้ามาร่วมด้วยเยอะพอสมควร 10 กว่าคน ประกอบกับภาวะเหตุกาณ์ที่กล้องวงจรปิดเสียกระทันหันถึง 5 ตัว ย่อมเป็นพยานแวดล้อมที่ทำให้เชื่อได้ว่าเป็นการร่วมมือกันของผู้มีอำนาจ ไม่ว่าเป็นฝ่ายใดก็ตามที่ทำ


และที่น่าสนใจอีกอย่างคือ ในขณะที่ยิงได้รับทราบเส้นทางเดินรถของผมตลอด แสดงว่าได้มีการเฝ้า จ้อง และมุ่งสังหารผมมาเป็นเวลานานพอสมควร

โชคดีของเขาและโชคร้ายของผมตรงที่ว่าในช่วงวันหยุดนั้น ผมไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศ หรือไปพักผ่อนที่ไหน และตัดสินใจที่จะออกรายการกู๊ดมอร์นิ่งไทยแลนด์ ตอนเช้า ก็เลยทำให้เขาทราบถึงการเดินทางขอผมมาตลอด การที่มีรถสี่คันรออยู่เป็นจุดๆ และมีการขับปาดไปทางซ้าย และเริ่มยิงผมในทางซ้ายข้าง และให้รถคันหน้าจอดและประทับยิง ไม่ใช่เป็นการกระทำของมือปืนมืออาชีพ แต่เป็นลักษณะของกระบวนการที่ผมเรียกว่าทีมล่าสังหาร ซึ่งไม่ใช่เกิดเป็นส่วนบุคคล แต่ต้องผ่านการฝึกอบรมจากแหล่งต่างๆ ซึ่งอาจมีการฝึกอบรมกระบวนการล่าสั่งหารเยอะแยะไปหมด


เมื่อเป็นเช่นนี้ผมยืนยันได้ว่า กระบวนการลอบสังหารผม เป็นฝีมือของทหารและเป็นทหารบางคนเท่านั้น ไม่ใช่ฝีมือของกองทัพ เพราะกองทัพส่วนใหญ่เป็นทหารอาชีพจะไม่ทำเรื่องที่น่าอัปยศอดสูเช่นนี้เด็ดขาด

น่าสังเกตว่าตั้งแต่มีคดีลอบสังหารกลางนครหลวง หน้าธนาคารแห่งประเทศไทยทันทีที่เกิดขึ้น ผู้ที่เกี่ยวข้องมีเพียงแค่ นายกฯ แสดงความเป็นห่วงเป็นใย และบอกว่าเรื่องนี้ต้องดำเนินการให้ถึงที่สุด ส่วนผู้ที่เกี่ยวข้องอื่นไม่ได้รู้ร้อนรู้หนาว เรื่องที่คนๆ หนึ่งเดินทางไปทำหน้าที่ของตัวเองแล้วถูกอาวุธส่งครามถล่มอย่างนี้ ไม่รู้ร้อนหนาวแล้วยังปฏิเสธที่มาที่ไปของอาวุธสงคราม ซึ่งไม่ใช่ประเด็นที่ควรพูด ประเด็นที่ควรพูดน่าจะเป็นในรูปแบบของการประณามการกระทำเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัยกันได้เลย เพราะว่าเกิดเหตุในระหว่างที่มีพระราชกำหนดฉุกเฉิน ในพ.ร.ก.ฉุกเฉินคนที่กล้าทำได้ก็ต้องได้รับการหลิ่วตาจากผู้หลักผู้ใหญ่ให้ทำเช่นนี้ได้ แต่อย่างที่ผมเรียน ผมเชื่อมั่นว่าเหตุที่เกิกมาจากทหารไม่กี่คน นอกนั้นไม่มีส่วนรับรู้หรือรู้เห็นอะไรด้วย

อีกประการที่นอกจากไม่รับผิดชอบแล้ว ยังปฏิเสธว่าอาวุธสงครามอย่างนี้ใครๆ ก็ซื้อหาได้ ไปจนถึงปฏิเสธเรื่องปลอกกระสุนปืน โยนกันไปมา พอความจริงโผล่ โฆษกกองทัพก็ปฏิเสธว่าไม่ใช่ ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่น่าเสียใจที่ว่ากระทั่ง 3-4 วันที่ผ่านมา ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเพิ่งจะบอกว่าถ้ามีทหารเกี่ยวข้องน่าจะจัดการเด็ดขาด ทั้งที่เรื่องเช่นนี้ควรพูดแต่วันแรก แต่ก็ไม่มีการพูดถึงเลยแม้แต่นิดเดียว เหมือนกับว่ามึงตายก็ตายไป ไม่เป็นไร สมน้ำหน้ามึง ซึ่งผมก็ไม่ได้ถือโทษโกรธเคือง

อีกประเด็นที่ต้องแจง คือใครเป็นคนทำนั้น ผมขอกราบเรียนอย่างนี้ดีกว่า เพื่อความเข้าใจภาพรวมอันใหญ่ เพราะว่าก็ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษ

หนังสือพิมพ์เนชั่นสุดสัปดาห์ ก็ขอเพิ่มเติมและขยายความ การต่อสู้ของพันธมิตรฯ โดยมีแกนนำทั้ง 5 คน ร่วมกันต่อสู้ตั้งแต่ปี 2549 ถึง 193 วันที่ผ่านมานั้น โชคดีของพันธมิตรฯ ที่การประท้วงของกลุ่มคนเสื้อแดงนั้นเราตั้งมั่นสงบ ไม่ได้ยุ่งอะไรกับใคร ทำให้สังคมไทยได้เห็นว่าใครกันแน่เน้นความรุนแรง กระบวนการทำร้ายพันธมิตรฯ ถึงชีวิต มีมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเหตุกาณณ์ 7 ตุลาคม เป็นกระบวนการต่อเนื่องเพื่อข่มขู่ รวมทั้งยิงปืนเอ็ม79 เข้าไปที่ทำเนียบฯ ทำคนตาย 4 คน และยิงถล่มตลอดที่ดอนเมือง และล่าสุดแหล่งข่าวพันธมิตรฯ ซึ่งเป็นทหารด้วยกันตัดสินใจเล่าให้เราฟังว่ากลุ่มคนที่ยิงเอ็ม 79 ที่ดอนเมือง และที่ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นกลุ่มคนเดียวกัน และเตรียมการที่จะยิงต่อ และมีคนนำข้อมูลเหล่านี้แจ้งไปที่ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และพล.ต.ต. วิชัย สังข์ภัย ผู้การน.1 ก็แจ้งข้อมูลให้ทราบ ซึ่งผลจากการสืบสวนาภยใน ยืนยันว่าเป็นความจริง และกำลังดำเนินการจับกุมอยู่ โดยเป็นทหารยศ"จ่าสิบเอก"ยังอยู่ในกทม. เป็นคนเดียวกับที่ยิงศาลรัฐธรรมนูญ และที่นี่ด้วย เป็นข้อมูลใหม่ให้เห็น


การต่อสู้เพื่อการเมืองใหม่ มีนัยยะกว่าเอาคนรุ่นใหม่มาเล่นการเมือง ถ้าดูให้ดีๆ การต่อสู้ของพันธมิตรฯ เป็นการต่อสู้เพื่อเรียกร้องให้สังคมไทยกลับสู่ความโปร่งใสมีความซื่อสัตย์ในการบริหารของชาติบ้านเมือง

ในทุกยุคสมัยของชาติบ้านเมืองเมื่อใดมีการเปลี่ยนแปลงจากเก่าไปสู่ใหม่ ย่อมมีการคัดค้าน ไม่เห็นด้วย ต่อต้านจากกลุ่มผู้มีอำนาจเก่าหรือกลุ่มผู้มีอำนาจใหม่ที่อยากกลับไปใช้อำนาจเก่าที่ไม่มีการตรวจสอบ เพราะฉะนั้นการต่อต้านการคัดค้านจึงใช้หลายรูปแบบ ทั้งรูปแบบของผู้แทนราษฏร รูปแบบสื่อที่เห็นไม่ตรงกัน ลงมาจนถึงการใช้ความรุนแรง เพื่อข่มขู่


การลอบสังหารผมนั้นนอกจากจะเป็นนัยยะปิดปากสื่อมวลชนที่กล้าแสดงออก ยังเป็นนัยยะสำคัญอีก คือข่มขู่แกนนำพันธมิตรฯ คนอื่นว่าไม่ให้แสดงจุดยืน หรือกระทำใดๆ อันเป็นการสั่นสะเทือนฐานของอำนาจการเมืองแบบเก่าๆ

สัญญาณตรงนี้ก็มีข้อดีว่า แสดงว่าแสดงว่าการเมืองรุ่นเก่าใกล้มาถึงที่สิ้นสุด นี่คือการดิ้นครั้งสุดท้าย แต่ไม่รอบคอบ เพราะคนคิดรอบคอบย่อมเข้าใจว่า อาวุธของพันธมิตรฯ ที่สำคัญคือปัญญา เพราะเราได้ปลูกฝังปัญญาให้ความรู้แก่ประชาชนมาตั้งแต่ปี 2549 และ 193 วัน เราได้มีคนมีปัญญาเพิ่มอย่างมหาศาล การฆ่าสนธิ ลิ้มทองกุล เพียงหนึ่งคน ไม่สามารถฆ่าสนธิ ลิ้มทองกุล อีกเป็นล้านๆ คนได้ ที่ได้แปลงสภาพจากคนไม่รู้ หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์มาเป็นรู้ และที่สำคัญคือยากเปลี่ยนแปลงชาติบ้านเมืองในครั้งนี้


ฉะนั้น ใครก็ตามที่จะสูญเสียผลประโยชน์ ไม่ว่าเป็นทหารรุ่นเก่าที่ยังมีความสุขในการเบียดบังแอบอิงอำนาจเพื่อประโยชน์ส่วนตัว

หรือนักการมืองรุ่นเก่าที่ยังมองว่าการเมือง การเลือกตั้ง ประชาธิปไตย คือการยกมือในสภาเท่านั้น ตลอดจนข้าราชการหลายๆ หน่วยหลายๆ เหล่า ที่เกรงกลัวการเมืองใหม่ ฉะนั้นการประชุมร่วมกัน หรือเห็นพ้องกันว่านานสนธิ ต้องตายนั้นจึงไม่น่าประหลาดใจแม้แต่นิดเดียว ส่วนใครเป็นผู้ลงขันนั้น ก็เป็นเรื่องภายในที่ผมไม่สามารถเปิดเผยได้ และผมคงไม่เปิดเผย


ขณะนี้หลายกระแสพุ่งตรงไปที่ คุณวิระยา ชวกุล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผมขอกราบเรียนในทราบว่า ผมไม่ได้คิด และไม่เชื่อว่าคนพวกนี้เป็นผู้วางแผน

เพราะว่าทุกคนก็ออกมาปฏิเสธกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณวิระยา ชวกุล ก็ออกมาปฏิเสธอย่างเสียงเจื้อแจ้ว แต่ผมจะฝากกราบเรียนสักนิดนึง เป็นความเห็นส่วนตัวของผม เป็นความรู้สึกส่วนตัวขอผม สมมุติไม่ใช่เรื่องจริงนะครับ แต่ถึงจะเป็นจริงผมก็ไม่โกรธ ผมให้อภัยไปเรียบร้อยแล้ว เพราะผมถือว่าคนเรานั้นทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง อย่าไปโกรธใครเป็นส่วนตัว ถ้าจะต้องบาดเจ็บสาหัสหรือแม้จะต้องตายเพื่อชาติบ้านเมือง ถ้าบาดเจ็บสาหัสแล้วตาย ชาติบ้านเมืองดีขึ้นมันก็คุ้มค่าที่จะตาย


แต่อย่างที่ผมให้สัมภาษณ์เนชั่นสุดสัปดาห์ไปว่า สิ่งที่ผมเสียใจที่สุดในชีวิต คือเลือดที่มันหยดไหลลงสู่พื้นดินนั้น

มันไม่ได้ต่างจากเลือดของทหารหาญที่ปกป้องราชอาณาจักรไทยอยู่ที่พรมแดนไทยเขมร หรือที่ต่อสู้กับโจรแบ่งแยกดินแดนทางใต้ เพราะว่าผมก็สู้เพื่อชาติศาสนาพระมหากษัติย์เช่นกัน และผมกลับโดนยิงโดยคนซึ่งคนที่ควรไปปกป้องชาติศาสนาและพระมหากษัตริย์เหมือนกับผม นั่นคือสิ่งที่ผมเสียใจมากที่สุด และผมอยากให้บทเรียนของผมเป็นบทเรียนที่จะเตือนใจไปกับทุกๆ คน ว่า การที่คนเรามีความคิดเห็นต่างกันไม่ได้แปลว่าเราจะต้องมาฆ่ากัน การยิงผมครั้งนี้เป็นบทพิสูจน์สุดท้ายให้เห็นชัดเลยว่า พันธมิตรฯ ไม่ใช่เป็นคนซึ่งต้องการความรุนแรงเลย เป็นผู้ที่หลีกเลี่ยงความรุนแรง


ส่วนเรื่องราวของคุณวิระยา ชวกุล ก็เป็นเรื่องราวที่คุณวิระยาได้ชี้แจงออกมาว่าไม่ได้เกี่ยวข้อง

ซึ่งผมก็ดีใจที่ท่านไม่ได้เกี่ยวข้อง ผมเป็นเพียงแต่ว่าอยากจะฝากเตือนไปนิดหนึ่ง เป็นสัจจะธรรมที่ทุกๆ คนทราบว่าคนเรานั้นโกหกใครก็ได้  แต่โกหกกับตัวเองไม่ได้เด็ดขาด มโนธรรม สำนึก จะติดตัวอยู่กระทั่งลมหายใจสุดท้ายของชีวิตจะหมดไป กว่าจะตายก็จะตายอย่างทุรนทุรายก็ได้ว่าครั้งหนึ่งในชีวิตเคยทำผิดอะไรไว้ เพราะฉะนั้นแล้วผมดีใจที่คุณวิระยา ชวกุล ปฏิเสธว่าไม่ได้ทำ ผมก็อนุโมทนาสาธุให้ด้วย ส่วนเรื่องราวต่างๆ นั้น ผมคงจะไม่เล่าอะไรให้ฟัง ประเดี๋ยวผมจะแจกเอกสาร

เรื่องเกี่ยวกับราชเลขาสมเด็จพระนางเจ้าฯ แจ้งด่วนมหาดไทยสั่งผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ หยุดบีบขายเสื้อ "ส.ก." ให้ท่านสื่อมวลชนเอาเอกสารไปคนละชุด แล้วท่านอ่านแล้วใช้วิจารณญาณพิจารณาเองว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร


เรื่องที่ถามว่าห้อยพระอะไรถึงเกิดปาฏิหาริย์นี้ ถ้ารวมปลอกกระสุนปืนทั้งหมดมีเกือบ 200 นัด อาก้าท่านต้องรู้ว่าต้นไม้ทั้งต้นยิงทะลุได้ นับประสาอะไรกับรถญี่ปุ่น

ผมโดนอาวุธนัดหนึ่งยิงที่หน้าอก ยังเป็นรอยช้ำอยู่ ผมเป็นคนที่มีพ่อแม่ครูอาจารย์เยอะ ชาวพันธมิตรฯ ต่างก็มีพ่อแม่ครูอาจาย์เยอะ ทุกองค์ แต่ผมคิดว่าที่สุดแล้วพ่อแม่ครูอาจาย์ปกป้องเราหรือไม่อยู่ที่เราทำอะไรมากกว่า ผมห้อยพระคุณงามความดี การที่ผมบาดเจ็บแล้วไม่ถึงแก่ชีวิตรอดตายปาฏิหาริย์ แต่มีผลต่อสังคมไทยและผมคิดว่าเป็นข้อดี บริบทที่ผมพูดคือคนหันมาเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น โดยเฉพาะที่ว่าคนทำงานเพื่อบ้านเมืองพระย่อมคุ้มครอง เพราะช่วงหลังคนไทยเริ่มห่างเหินสัจจธรรมที่ว่าทำดีได้ดี การที่ผมรอดตายครั้งนี้ คงไม่ใช่ปาฏิหาริย์อะไรนอกจากคุณงามความดีได้คุ้มครอง น่าประหลาดว่าไม่มีใครเสียชีวิตเลยแม้แต่คนเดียว นายวายุภักด์ บอดี้การ์ดผม เล่าให้ฟังว่าเหมือนมีลูกปืนวิ่งอยู่รอบๆ ตัวผม ช่วงวินาทีนั้นถ้าผมได้ตายเพราะเวรกรรมในชาติก่อน ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าความตายนของผมมีประโยชน์ขอให้ชาติศาสนากษัตริย์อยู่ต่อไป ขอบารมีพระเจ้าอยู่หัวคุ้มครองผม แต่ที่เราต้องห้อยคือคุณงามความดี


จากนี้ไปผมจะทำอะไร มีข่าวลือว่าผมถอดใจจะเลิกแล้ว ไม่เป็นความจริงแต่แพทย์ให้พักฟื้นเพราะน้ำในหูไม่เท่ากัน

ผมยังหน้ามืดอยู่ ผมใช้เวลาพักฟื้นอีกระยะ การพักฟื้นมีหลายรูปแบบ เช่นไปต่างประเทศ แต่ไม่ใช่อินเดียหรือเนปาล อาจไปไหว้พระที่ผมเคยไป หรือไปสหรัฐฯ เพื่อเลี่ยงเหตุการณ์ต่างๆ เพราะคิดว่าในเดือนพฤษภาคมนี้คงมีการแถลงข่าวของตำรวจว่าใครเป็นผู้ต้องสงสัยบ้าง เพราะผมไม่ต้องการเป็นตัวละครในเรื่อง เพราะผมให้อภัยแล้ว


วันแรกที่กลับมาผมจุดธูป 5 ดอกและตั้งจิตอธิษฐานว่า แผ่เมตตาให้กับคนที่วางแผนฆ่าผม คนฆ่าผม และผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

และผมประกาศสัจจะวาจาว่าผมให้อภัย ชาติบ้านเมืองวันนี้จะอยู่ไม่ได้เลยถ้ามองว่าประเทศไทยเป็นสมบัติพลัดกันชม การซื้อเสียงมันต้องยุติได้แล้ว ไม่งั้นสังคมไทยมันจะล่มสลาย ศีลธรรมหมดสิ้นไป ทุกคนมุ่งหาแต่เงินทอง ผมไม่ได้โกรธเคือง แต่ศรัทธาของผมดังเดิม ผมต้องทุ่มเทชีวิตและตั้งสัจจะอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์ เพื่อทำหน้าที่ต่อสังคมไทยในทุกรูปแบบ ยืนยันว่าสิ่งที่เราทำถูกต้อง เพราะถ้าผิดเราคงอยู่ไม่ได้นานขนาดนี้ เราคงไม่มีประชาชนเป็น 10 ล้านคนที่เห็นด้วยกับเรา"


ช่วงหนึ่งของการตอบคำถาม นายสนธิยืนยันว่า ไม่ได้ลี้ภัย ยังใช้พาสปรอ์ตไทยอยู่ เดินทางไปก็ไม่กลัวหวัดหมู พร้อมทั้งยืนยันว่าเหตุการณ์ลอบสังหารไม่ใช่ประเด็นส่วนตัว 

"สิ่งที่ผมขอชมนายกฯ คือเมื่อมีการแจ้งชื่อว่าหัวหน้าพนักงานสอบสวนในคดีนี้คือ พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รองผบ.ตร. ท่านก็ตกใจ จึงรีบเปลี่ยนเป็นพล.ต.อ.ธานีแทน ซึ่งผมก็ดีใจ เพราะยังไม่ทันไรเลย พล.ต.อ.จงรักก็เอ่ยมาคำแรกแล้วว่า ไม่ปฏิเสธว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ผมก็เกรงท่านจงรักมากในเรื่องสืบสวน สอบสวน จากผลงานซานติก้าผับ ผมคงไม่มีความสุขถ้าให้ท่านมาทำคดีนี้"

เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์