ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดคุณหญิงทิพาวดี-ศุภรัตน์ตั้งคณะอนุฯไต่สวนสมัครสินบนอุโมงค์

ป.ป.ช.มีมติยกคำร้องขอความเป็นธรรมของ คุณหญิงทิพาวดี ยืนตามมติเดิมที่ชี้มูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายและ นายศุภรัตน์ พ่วงความผิดทางอาญา ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน "สมัคร"ถูกกล่าวหาทุจริตอุโมงค์ระบายน้ำ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่  21 เมษายน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)  ได้มีการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.และแถลง  เรื่องการร้องขอความเป็นธรรมของ คุณหญิงทิพาวดี  เมฆสวรรค์  อดีตเลขาธิการ ก.พ.  และ นายศุภรัตน์  ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลัง   ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.  ได้แถลงข่าวในการประชุมเมื่อวันที่ 12 มีนาคม  ชี้แจงผลการพิจารณาหนังสือร้องขอความเป็นธรรมของ คุณหญิงทิพาวดี  เมฆสวรรค์  และนายศุภรัตน์  ควัฒน์กุล  โดยมีรายละเอียดดังนี้

1. กรณีของ คุณหญิงทิพาวดี  เมฆสวรรค์  คณะกรรมการ ป.ป.ช.  พิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ คุณหญิงทิพาวดี  เมฆสวรรค์ ได้โต้แย้งขอความเป็นธรรม นั้น  เป็นข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ปรากฏ ในชั้นการไต่สวนของคณะอนุกรรมการไต่สวนและเป็นข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่คณะอนุกรรมการ ไต่สวนและคณะกรรมการ ป.ป.ช. รับฟังและนำมาพิจารณาวินิจฉัยแล้ว หากแต่เห็นว่าไม่มีน้ำหนัก เพียงพอที่จะหักล้างข้อกล่าวหาได้  จึงถือไม่ได้ว่า ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่คุณหญิงทิพาวดี  เมฆสวรรค์  โต้แย้งขอความเป็นธรรมดังกล่าว เป็นพยานหลักฐานใหม่อันเป็นสาระสำคัญแก่การไต่สวน ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะสามารถยกขึ้นพิจารณาเพื่อดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงอีกครั้งหนึ่ง 
 
ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542  มาตรา 44 (1)  ได้  จึงมีมติยกคำร้องขอความเป็นธรรมของคุณหญิงทิพาวดี  เมฆสวรรค์  และมีมติยืนตามมติเดิมที่ชี้มูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงกับคุณหญิงทิพาวดี  เมฆสวรรค์  

2. กรณีของ นายศุภรัตน์  ควัฒน์กุล   คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า หนังสือร้องขอความเป็นธรรมของ นายศุภรัตน์  ควัฒน์กุล ได้อ้างข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพิ่มเติมหลายประการ  โดยระบุว่า เป็น พยานหลักฐานใหม่ที่เป็นสาระสำคัญแก่การไต่สวนแต่มิได้ระบุให้ชัดเจนว่า พยานหลักฐานใดเป็น พยานหลักฐานใหม่บ้าง  และพยานหลักฐานนั้นเป็นสาระสำคัญแก่การไต่สวนเพียงใด  จึงมีมติให้เชิญ นายศุภรัตน์  ควัฒน์กุล  มาชี้แจงถึงข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่เห็นว่า เป็นพยานหลักฐานใหม่ให้

ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณา  เพื่อจะได้พิจารณาวินิจฉัยว่า เป็นพยานหลักฐานใหม่อันเป็นสาระสำคัญแก่การไต่สวนที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. สมควรยกขึ้นพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542  มาตรา 44 (1)  หรือไม่  ต่อไป นั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้รับฟังการชี้แจงข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานของนายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล  แล้ว ขอชี้แจงถึงรายละเอียดดังนี้

เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2552  นายศุภรัตน์  ควัฒน์กุล  ได้มาชี้แจงถึงข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ระบุว่า เป็นพยานหลักฐานใหม่ให้ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณา พร้อมยื่นหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงเพิ่มเติม 

คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า  ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่นายศุภรัตน์  ควัฒน์กุล ได้มีหนังสือร้องขอความเป็นธรรม จำนวน 3 ฉบับ รวมทั้งที่นายศุภรัตน์  ควัฒน์กุล  ได้มาชี้แจงข้อเท็จจริงต่อคณะกรรมการป.ป.ช. พร้อมยื่นหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงเพิ่มเติม นั้น  เป็นกรณีที่นายศุภรัตน์  ควัฒน์กุล  ได้อ้างข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานในหลายประเด็น  ซึ่งบางประเด็นเป็นข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ปรากฏในชั้นการไต่สวนของคณะอนุกรรมการไต่สวน และเป็นข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่คณะอนุกรรมการไต่สวนและคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้รับฟังและนำมาพิจารณาวินิจฉัยแล้ว 

 
หากแต่เห็นว่าไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะหักล้างข้อกล่าวหาได้  แต่บางประเด็นก็เป็นพยานหลักฐานใหม่

ซึ่งไม่ปรากฏในชั้นการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะอนุกรรมการไต่สวน และการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช. แต่มิได้เป็นพยานหลักฐานที่มีความสำคัญแก่การไต่สวน  และมีน้ำหนักเพียงพอที่จะหักล้างข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ได้จากการไต่สวนของคณะอนุกรรมการไต่สวน  รวมทั้ง การพิจารณาวินิจฉัยของคณะกรรมการ ป.ป.ช.

 
ดังนั้น จึงไม่อาจถือได้ว่าข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่นายศุภรัตน์   ควัฒน์กุล  ขอความเป็นธรรมดังกล่าว

เป็นพยานหลักฐานใหม่อันเป็นสาระสำคัญแก่การไต่สวนที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะสามารถยกขึ้นพิจารณาเพื่อดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงอีกครั้งหนึ่ง  ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542  มาตรา 44 (1)  ได้  คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติยกคำร้องขอความเป็นธรรมของนายศุภรัตน์   ควัฒน์กุล  และมีมติยืนตามมติเดิมที่ชี้มูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงและความผิดทางอาญากับนายศุภรัตน์  ควัฒน์กุล 

 
อนึ่ง หลังจากที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้มีมติยกคำร้องขอความเป็นธรรมของคุณหญิงทิพาวดี  เมฆสวรรค์ ดังที่กล่าวไว้แล้วในตอนต้น

ปรากฏว่า คุณหญิงทิพาวดี  เมฆสวรรค์  ได้มีหนังสือร้องขอความเป็นธรรมเพิ่มเติมอีก รวม 3 ฉบับ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาหนังสือร้องขอความเป็นธรรมเพิ่มเติมของ  คุณหญิงทิพาวดี  เมฆสวรรค์  ทั้งสามฉบับแล้ว ปรากฏว่า เป็นกรณีที่คุณหญิงทิพาวดี  เมฆสวรรค์  ได้อ้างข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพิ่มเติมจำนวนหลายประเด็น  ซึ่งบางประเด็นเป็นข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ปรากฏในชั้นการไต่สวนของคณะอนุกรรมการไต่สวน และเป็นข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่คณะอนุกรรมการไต่สวนและคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้พิจารณาวินิจฉัยแล้ว  หากแต่เห็นว่าไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะหักล้างข้อกล่าวหาได้  แต่บางประเด็นก็เป็นพยานหลักฐานใหม่  แต่เป็นพยานหลักฐานที่ไม่มีความสำคัญและไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะหักล้างข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ได้จากการไต่สวนของคณะอนุกรรมการไต่สวน  รวมทั้ง การพิจารณาวินิจฉัยของคณะกรรมการ ป.ป.ช.

 
ดังนั้น จึงไม่อาจถือได้ว่าข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่คุณหญิงทิพาวดี  เมฆสวรรค์  ยกขึ้นขอความเป็นธรรมดังกล่าว เป็นพยานหลักฐานใหม่อันเป็นสาระสำคัญแก่การไต่สวนที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะสามารถยกขึ้นพิจารณาเพื่อดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงอีกครั้งหนึ่ง  ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542  มาตรา 44 (1)  ได้ 
 

2. เรื่องกล่าวหา นายสมัคร  สุนทรเวช เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร กับพวก ทุจริตการดำเนินโครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำ   คลองแสนแสบและคลองลาดพร้าว ลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา  ด้วยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน และคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ  สภาผู้แทนราษฎร  ได้มีหนังสือส่งเรื่องกล่าวหา นายสมัคร  สุนทรเวช  เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร  นายสหัส  บัณฑิตกุล  เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กับพวก  ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต และกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542  เกี่ยวกับการดำเนินโครงการก่อสร้างอุโมงค์ระบายน้ำคลองแสนแสบและคลองลาดพร้าว ลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา 
ของสำนักการระบายน้ำ  กรุงเทพมหานคร


คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน เพื่อดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงต่อไป โดยมอบหมายให้ นายประสาท  พงษ์ศิวาภัย  กรรมการ ป.ป.ช.เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน จึงขอแถลงมาให้ทราบโดยทั่วกัน

เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์