สิ่งที่ มาร์ค ไม่ควรทำ ซ้ำรอย แม้ว 1 : อย่าลุอำนาจ ยึดชาติเป็นของตัว

เรากำลังมีนายกฯคนใหม่ หลายคนก็รู้สึก “ดีใจ” ที่มีการเปลี่ยนแปลง “ชื่นใจ” ที่ไม่มีการพยายามแบ่งแยกแผ่นดิน หรือ แบ่งแยกพี่น้องคนไทย เป็น “พวกรัก” และ “พวกเกลียด” และ “ภูมิใจ” ที่เรามีนายกฯที่พูดจาประกอบด้วยความรู้ ความสามารถ วิสัยทัศน์ และคุณธรรม อย่างที่คนไทยได้ร่วมกันภาคภูมิใจ ไม่อายใคร
 
ไทยทนเห็นว่า คนส่วนใหญ่ก็เอาใจช่วย หวังอยากเห็นประเทศที่ดีขึ้น แต่ด้วยเราเพิ่งผ่านบรรยากาศของการอยู่ภายใต้อำนาจของ “ระบอบทักษิณ” มายาวนาน สังคมไทยได้เรียนรู้ว่า ผู้นำมีอำนาจมาก ผู้นำที่ดี สร้างคุณูปการต่อประเทศได้มาก ผู้นำที่ไม่ดี ก็สร้างปัญหาและภาระของประเทศชาติมากมายเช่นกัน
 
ด้วยปัญหาที่เกิดขึ้น ถือได้ว่าเป็นต้นทุนประเทศที่แพงมาก เพราะคนๆเดียว ลุอำนาจต้องการยึดชาติเป็นของตัว ฉ้อราษฎร์บังหลวงดูดประโยชน์เป็นของตัว และ ลดมาตรฐานความชอบธรรมความถูกต้องเพื่อปกป้องตัว
 
ไทยทนเชื่อว่า มีสิ่งที่“มาร์ค” ไม่ควรทำ ซ้ำรอย “แม้ว” ในข้อแรก คือ “อย่าลุอำนาจ ยึดชาติเป็นของตัว” หลายประการ ดังนี้
 
1.  อย่ายึดอำนาจรัฐ เป็นสมบัติของตัว : ระบอบทักษิณมักถือว่า ประชาธิปไตยเป็นวิถีทาง เข้าสู่อำนาจด้วยการลงทุน เป็นเจ้าของ และแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตนและพวกพ้อง จนกระทั่งบัดนี้ เรายังเห็นความคิด ของลิ่วล้อ “ระบอบทักษิณ” ทักท้วงทำนองว่า ถูกปล้นอำนาจรัฐไปเป็นสมบัติของประชาธิปัตย์ สะท้อนความคิดอยู่นั่นเองว่า “การเมือง เป็นการเข้ายึดอำนาจรัฐเป็นสมบัติส่วนตัว” อยู่นั่นเอง
 
นักการเมือง และประชาชนไทย ควรเลิกคิดได้แล้วว่า อำนาจรัฐ เป็นสมบัติส่วนตัว อันที่จริง การเข้าสู่อำนาจรัฐ เป็นการอาสามาทำงาน เพื่ออุทิศตัวเพื่อประเทศชาติและประชาชน เสียสละตนเพื่อประเทศชาติ ไม่ใช่เสียสละชาติเพื่อตน
ในเบื้องต้น เราเห็นสุนทรพจน์ที่งดงามของนายกฯ มาร์ค ของเราที่น่าภูมิใจว่า “ผมสำนึกเสมอครับว่า ผมเกิดมาเป็นข้าของแผ่นดิน ต้องสนองคุณแผ่นดิน” หวังว่า ท่านจะยึดถือหลักการที่น่ายกย่องนี้ตลอดไป
 
2.  อย่าใช้สื่อของรัฐด้านเดียว อย่างไม่เป็นธรรมแบบเผด็จการ : ประชาธิปไตยแท้ ไม่ใช่วัดกันแค่เพียงเรื่องการเลือกตั้ง เพราะเผด็จการฮิตเลอร์ ก็มาจากการเลือกตั้ง เผด็จการเขมร หรือเผด็จการพม่าก็จัดให้ดูเหมือนมีการเลือกตั้ง หัวใจของประชาธิปไตย คือการที่ผู้นำมาจากเสียงส่วนใหญ่ แต่เป็นผู้นำของทุกคน เสียงส่วนน้อยช่วยตรวจสอบ จึงต้องมีการสื่อความ 2 ด้าน ภายใต้ระบอบทักษิณ เราเห็นการคุมสื่อเพียงด้านเดียว รายการประเภท “ความจริง (ส่วนของฉัน) วันนี้” ที่จัดโดย 3 เกลอหัวขวด เป็นตัวอย่างของการปล้นประชาธิปไตย ปล้นเสรีภาพของประชาชนในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารไป การคุมสื่อด้านเดียว ทำให้ใส่ร้ายฝ่ายตรงข้ามได้อย่างไม่เป็นธรรม และทำให้สามารถใช้อำนาจรัฐทำบาปมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีการแก้ไขปัญหาที่ไม่เป็นธรรม นำไปสู่คดีอุ้ม ทนายสมชาย ทนายแห่งสิทธิมนุษยชน คดีกรือเซะ และคดีตากใบ และความกดดัน ใช้สื่อของรัฐใส่ร้ายผู้เห็นต่าง มีแต่ทำให้ปัญหาบานปลาย ยังยากที่จะสงบลงได้
 
ไทยทนจำได้ว่า ท่านอภิสิทธิ์เคยเอ่ยถึงการจัดรายการ “นายกฯพบประชาชน” และพร้อมจะเปิดโอกาสให้มีรายการ “ผู้นำฝ่ายค้านพบประชาชน” ซึ่งหวังว่าท่านจะปฏิบัติดังที่ท่านพูด
 
และหวังว่า ท่านจะไม่ใช้สื่อด้านเดียว ให้ความเท็จใส่ร้ายฝ่ายตรงข้ามอย่างเดียว ไทยทนเห็นว่า รายการโทรทัศน์แบบ “มองต่างมุม” ในอดีต เป็นรายการที่ให้ความรู้ แง่คิดหลายด้านหลายมุมที่เป็นธรรม รายการลักษณะนี้น่าจะกลับมา และอย่าถือเป็นทีของตัวจัดให้มีรายการแบบ “ความจริง (ส่วนของฉัน) วันนี้” อีกต่อไปุม"ท่านจะไม่ใช้สื่อด้านเดียว ให้ความเท็จใส่ร้ายฝ่ายตรงข้ามอย่างเดียว ไทยทนเห็นว่า รายการโทรทัศน์แบบ "ทำร้ายใคร ภาพรุนแรง
 
3.  อย่าละเลยประชาธิปไตยในระบอบรัฐสภา: เรามีบทเรียนที่ อดีตนายกฯทักษิณ มีพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง ไม่สมควร ส่อทุจริต แต่เมื่อผู้แทนราษฎร ในระบอบรัฐสภา ตั้งกระทู้ถาม ตามอำนาจและหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ท่านก็ไม่เคยตอบ เมื่อมีการอภิปราย ก็ยุบสภาหนี
 
ต่างกับอารยประเทศ เมื่อสภาสงสัยแม้เรื่องส่วนตัวของบิล คลินตัน ท่านก็ตอบจนสิ้น เมื่อสภาอังกฤษถามนายกรัฐมนตรี โทนีแบลร์ ถึงกรณีการเดินตามอเมริกาในสงครามอิรัก ท่านก็ต้องตอบ มีแต่ท่านทักษิณ “ไม่ตอบ”! ทำให้ระบบรัฐสภาตามระบอบประชาธิปไตยถูกย่ำยีไป
 
ท่านมาร์ค จึงควรเก็บปัญหานี้เป็นบทเรียน และอย่าได้ละเลยบทบาทการตรวจสอบของสภาแบบคล้ายๆกัน
 
4.  อย่าใช้เงินภาษีของประชาชน ทำเพื่ออ้างบุญคุณตัว : เรามีบทเรียนที่ อดีตนายกฯทักษิณ มีพฤติกรรมใช้เงินของรัฐ ซึ่งเป็นภาษีของประชาชน ใช้จ่าย แต่อ้างบุญคุณว่ามาจากตัว เราจะเห็นอารยประเทศอย่างอเมริกา เมื่อจะใช้เงินของชาติ ช่วยเหลือประชาชน จะพูดอย่างระมัดระวังว่า เป็นการใช้เงินของ “ผู้จ่ายภาษี (Tax-Payers)” ไม่ใช่เป็นเงินของตัว การใช้เงินของรัฐที่ผ่านๆมาทุกรัฐบาล ก็เป็นประโยชน์ต่อประชาชน การพัฒนา Eastern Seaboard การพัฒนาท่องเที่ยว การพัฒนาสาธารณูปโภคในหลายๆรัฐบาลนั้น ก็เป็นผลดีต่อการพัฒนาประเทศ และทำให้คนไทยมีงานดีๆทำ หายจนได้จริงๆมากมาย ก็ไม่ต้องยึดถือว่า เป็นบุญคุณใคร แต่เป็นบุญคุณแผ่นดินต่อเราทุกคน หวังว่าท่านมาร์คก็จะไม่อ้างการใช้จ่ายเงินของรัฐ เป็นบุญคุณของใคร คล้ายๆกัน
 
5.  อย่าใช้อำนาจ “เลือกปฏิบัติ” สร้างความไม่เป็นธรรม ทำให้บ้านเมืองแตกแยก : เรามีบทเรียนที่ อดีตนายกฯทักษิณ ให้แนวทางว่า “พื้นที่ไหนเลือกผม ผมก็ต้องดูแลก่อน” ซึ่งเป็นการผิดหลักการประชาธิปไตยอย่างสิ้นเชิง ท่านมาร์คเริ่มต้นด้วยดีจากสุนทรพจน์ของท่านว่า “วันนี้ประเทศของเราต้องมีความสามัคคี ผมขอยืนยันว่า ผมจะทำงานให้กับคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะเลือกผมหรือไม่เลือกผม ไม่ว่าจะสนับสนุนผมหรือแม้แต่ต่อต้านผม ท่านจะเป็นใครก็ตาม หากท่านไม่คิดร้ายต่อบ้านเมือง ท่านไม่ใช่ศัตรูของผม และท่านเป็นอีกคนหนึ่งที่ผมต้องรับใช้อย่างเต็มความสามารถ” ก็หวังว่า ท่านมาร์คจะยึดมั่นในหลักการนี้ตลอดไป
 
6.  อย่าใช้อำนาจรัฐ เพียงเป็นอาวุธเอาชนะกันทางการเมือง : มีการใช้ ปปง. ตรวจการฟอกเงินของผู้สนับสนุนพันธมิตร ทั้งๆที่ถ้าเรามองพันธมิตรด้วยความเป็นธรรม เขาไม่ได้เป็นผู้ก่อการร้าย ผู้ใช้ความเถื่อนแต่อย่างใด เขาไม่ได้ไปบุกทำร้ายใคร ภาพรุนแรง มักเป็นภาพม็อบกลุ่มอื่น การโยนแผง การทุบรถ การลากคนมากระทืบ นั้น ไม่ใช่สิ่งที่เราจะเห็นจากกลุ่มพันธมิตรฯเลยนอกจากการป้องกันตัว
 
แต่รัฐบาลโนมินีใช้ ปปง. เป็นดังอาวุธ กลั่นแกล้งผู้สนับสนุนการเมืองภาคประชาชน ทั้งๆที่เป็นการใช้วิธีอหิงสา และอโหสิ เพื่อประเทศชาติส่วนรวม
 
ทั้งๆที่ ความผิดของท่าน ดังกรณีพบแหล่งเงินวินมาร์ค ซึ่งซื้อหุ้น 1,500 ล้านบาท จากท่านและภรรยาเป็นการฟอกเงิน ตั้งแต่ปี 2543 เลือกตั้งครั้งแรก ซึ่งดีเอสไอ และ กลต. ก็ชี้ความผิดแล้วว่า ท่านและภรรยา คือเจ้าของที่แท้จริงของ วินมาร์ค VAF,OGF และ ODF ซึ่งสำนักงานอัยการสูงสุดก็ยืนยันตรงกันในคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นเอสซี แอสเสท (SC) ว่า “ด้วยข้อเท็จจริงปรากฏว่า ท่านและภรรยา ซื้อหุ้นผ่านกองทุน” เท่ากับเปิดโปงว่าท่านเป็นเจ้าของ และปกปิดไว้จริงไว้
 
ซึ่ง นาย เสนาะ เทียนทอง ก็เคยบอกเมื่อต้นปี 2549 ว่า “เพราะรวยจากโกงชาติ กล้าทำแม้เผาบ้านเผาเมืองเพื่อเอาประกัน” ก็เป็นความผิดระดับ “ปล้นชาติ” และ การโทรสั่งการโนมินี ให้ใช้มาตรการรุนแรงกับผู้ชุมนุมด้วยอุดมการณ์เพื่อชาติ การขู่ว่าจะนองเลือด สอดรับกับจังหวะการยิงระเบิด M79 เข้าบริเวณทำเนียบใส่กลุ่มพี่น้องพันธมิตร ก็ผิดระดับ “ก่อการร้าย” ทั้งเบาะแสและฐานความผิดขนาดนี้ สมควรที่ ปปง. จะตรวจสอบ ก็ไม่ทำ
 
สิ่งที่รัฐบาลมาร์คควรจะทำ คือไม่ใช่ใช้หน่วยงานเหล่านี้ ตรวจเงินผู้เห็นต่างทั้งหลาย แต่ต้องตรวจตามเนื้อผ้า ดังกรณีนี้ กลุ่ม 3 เกลอหัวขวด อาจไม่ต้องตรวจ เพราะยังไม่เห็นเบาะแส และมีฐานความผิดประกอบเหมือนกรณีอดีตนายกฯทักษิณ ซึ่ง ปปง. ควรจะได้ตรวจเพื่อความเป็นธรรมและความกระจ่างอย่างจริงจัง
 
7.  อย่าลืมบุญคุณแผ่นดินแม่ : อดีตนายกฯทักษิณ ได้รับบุญคุณแผ่นดินมากกว่าใครๆ แต่กลับวางตัวเป็นเหนือประเทศชาติ พยายามทำเรื่องผิดให้เป็นเรื่องถูก ไม่สนใจรัฐธรรมนูญ กฎหมาย รัฐสภา ความชอบธรรม และล่าสุด ถึงกับส่งจดหมายไปทั่วโลก เพื่อตำหนิประเทศไทย แผ่นดินแม่ว่ากลั่นแกล้งตัว ทั้งๆที่ คดีความต่างๆ ท่านก็ไม่ได้ชี้แจงตอบโต้
 
ท่านมาร์คกล่าวสุนทรพจน์อย่างงดงามว่า “แม้ว่าในชีวิตของผมไปใช้อยู่ในต่างแดนเป็นช่วงระยะเวลาหนึ่ง ผมไม่เคยมีความรู้สึกว่า มีที่ไหนที่น่าอยู่เท่ากับประเทศไทย” ก็หวังว่า ท่านจะไม่ลืมความรู้สึกรักชาติเช่นนี้ตลอดไป
 
ท่านมาร์คได้แสดงภาวะผู้นำอย่างดี ด้วยการจบท้ายสุนทรพจน์ว่า “ผมเชื่อมั่นในประเทศไทย ผมเชื่อมั่นในคนไทย ไม่ว่าเราจะเจอกับปัญหาอุปสรรคหนักหนาสาหัสเพียงใด ผมยังเชื่อในคนไทยและประเทศไทย และผมเชื่อว่า ถ้าผมได้รับความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งประเทศ พลังของพวกเราจะทำให้ประเทศของเรานั้น ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ และเราจะได้ร่วมกันสร้างอนาคตที่ดีให้กับลูกหลานของคนไทยทุกคน ผมมั่นใจครับว่า เราทำได้ ขอขอบพระคุณครับ”
 
ก็หวังว่า ท่าน “มาร์ค” จะไม่ทำซ้ำรอย “แม้ว” ในสิ่งที่ไม่ถูกต้องหลายๆประการ ขอให้ท่านสานต่อสิ่งดีๆ ที่หลายๆรัฐบาลได้ทำสืบเนื่องมา และนำคนไทย และประเทศไทยให้ผ่านวิกฤตการณ์ที่ท้าทายโลกในปัจจุบันไปได้อย่างดีต่อไป

เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์