ถอดรหัส พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกอายัดทรัพย์โดยอังกฤษ 1.4 แสนล้านบาท : ยอมสิ้นชาติ ไม่ยอมจำนน


“ประเทศอังกฤษได้อายัดทรัพย์ไป 4 พันล้านเหรียญ (ประมาณ 1.4 แสนล้านบาทตามอัตราแลกเปลี่ยน 35 บาท/ดอลลาร์ในปัจจุบัน!) เพื่อเพิ่มปัญหาให้กับ พ.ต.ท. ทักษิณ วีซาประเทศอังกฤษของเขาต้องถูกเพิกถอน โอ้ และภรรยาของเขาก็หย่ากับเขาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว”

จากบทสัมภาษณ์ ของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งลงเป็นบทความ Thaksin Shinawatra ′Catch me if you can′ โดย Anil Bhoyrul ตามเวบไซต์ arabianbusiness วันที่ 1 ธันวาคม 2551 ที่สะท้านแผ่นดินไทย แต่กลับหลุดข่าวที่สะท้านใจว่า
 
“The UK froze his reputed $4bn of assets, forcing him to sell Manchester City to Abu Dhabi′s Sheikh Mansour. To add to his troubles, his UK visa was revoked - oh, and his wife divorced him last week.” คือ
 
“ประเทศอังกฤษได้อายัดทรัพย์ไป 4 พันล้านเหรียญ (ประมาณ 1.4 แสนล้านบาทตามอัตราแลกเปลี่ยน 35 บาท/ดอลลาร์ในปัจจุบัน!) เพื่อเพิ่มปัญหาให้กับ พ.ต.ท. ทักษิณ วีซาประเทศอังกฤษของเขาต้องถูกเพิกถอน โอ้ และภรรยาของเขาก็หย่ากับเขาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว”

ข้อมูลนี้จริงหรือไม่ คงต้องดูว่า พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรจะฟ้อง Anil Bhoyrul ผู้นำมาเปิดเผยในบทความนี้หรือไม่ ? แต่ประเด็นนี้ นำไปสู่การถอดรหัส ต่ออีกหลายประเด็น ดังนี้

1. ตัวเลข 4 พันล้านเหรียญ สับสนกับ 7.3 หมื่นล้านบาทในเมืองไทยหรือไม่ ? ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะเป็นคนละตัวเลขกัน และใช้คำพูดที่ชัดว่าประเทศอังกฤษเป็นผู้ทำการอายัด

2. มีความเป็นไปได้หรือไม่ ที่ทักษิณ จะซ่อนทรัพย์สินในต่างประเทศ ? ทั้งที่รัฐธรรมนูญปี 2540 ซึ่งท่านอ้างว่าดีมาก เป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนที่ท่านต้องปฏิบัติตามในช่วงรัฐบาลของท่านนั้น ในมาตรา 295 ก็ระบุอยู่แล้วว่า เป็นทรัพย์สินทื่ท่านต้องเปิดเผย แต่การปรากฏทรัพย์สินนับแสนล้านบาท เกิดขึ้นได้อย่างไร ? ซึ่งก็สอดคล้องกับการที่ท่านซื้อสโมสรแมนเชสเตอร์ซิตี้ โดยมีเงินโอนหลังจากลูกๆขายหุ้นชินฯ ให้เทมาเส็กแล้ว ผ่านบริษัท ยูเค สปอร์ต อินเวสเมนท์ ลิมิเต็ด

ดังข่าวในหัวข้อ “คตส.พบแล้ว! “โอ๊ค-เอม” โอน 1.7 พันล้าน ซื้อแมนฯ ซิตี้” ซึ่งระบุว่า “สำหรับเงินก้อนดังกล่าวที่นำไปซื้อสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ จำนวน 1,700 ล้านบาทนั้น เป็นเงินที่ทางคณะอนุกรรมการฯ ตรวจสอบพบ ส่วนที่เหลือประมาณ 5,300 ล้านบาทในการซื้อสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ นั้นไม่พบว่าเป็นของใคร ซึ่งน่าจะเป็นเงินที่มีอยู่ก่อนแล้วในต่างประเทศ” ซึ่งเมื่อถอดรหัสต่อกับข่าวนี้ ก็แสดงว่า เงิน 5,300 ล้านบาท อาจจะมาจากบัญชีซุกซ่อนที่อังกฤษเหล่านี้

3.  เป็นกระบวนการซ่อนทรัพย์ รอฟอกเงิน เช่นเดียวกับ ส่วนที่ถูกอายัดในประเทศหรือไม่ ? การที่ใช้เงินหลังลูกขายไปซื้อ และก็กล่าวผ่านสื่อรวมทั้งบทความนี้ว่า ตน “เป็นผู้ซื้อ” และ “ขายสโมสรฟุตบอล” ได้กำไรมาเล็กน้อย ก็ไม่ปรากฎว่า ลูกเป็นผู้ซื้อขายแต่อย่างใด แสดงว่า การถือหุ้นที่ผ่านมาโดยลูกๆและคนใกล้ชิดเป็นลักษณะโนมินีเท่านั้น ใช่หรือไม่ ? เมื่อพ้นตำแหน่งแล้ว ก็เอาเงินที่ได้จากการขายหุ้น เมื่อถึงเวลาก็กลับมาใช้เป็นเงินของตนใช่หรือไม่ ?
 
กระบวนการซื้อทีมมาประมาณ 7 พันล้านบาท แล้วขายได้ประมาณ เท่าตัว ดูเหมือนกำไรมากร่วมเท่าตัวในเวลาอันสั้น แต่ทักษิณใช้ศัพท์ว่ากำไรเล็กน้อย ด้วยมีการเติมทีมงาน (Talent) และ ผู้จัดการ (Management) เข้าไป (ดังข่าวที่ได้เปิดเผยในเว็บไซต์ของแมนเชสเตอร์ซิตี้ว่า “When I bought Manchester City the club had been languishing in the bottom half of the Premier League and had an uncertain future. We invested in new talent and management and have been delighted by the success that has brought to the club.”) ซึ่งแสดงว่า ไม่ใช่ได้กำไรมหาศาลน่าตื่นเต้น แต่เพราะมีการ “เติมเงิน” จากแหล่งซุกซ่อน แล้วขายไปเป็นเงินสะอาด ซึ่งคือการ “ฟอกเงิน” ใช่หรือไม่ ?

4.  ถ้าเป็นเงินซ่อนจริง เอามาจากไหน ทำไมจึงมากขนาดนับแสนล้านบาท ? นาย เสนาะเทียนทอง อดีตเลขาธิการ พรรค ทรท. ยุคแรก กล่าวบนเวทีพันธมิตรช่วงต้นปี 2549 ว่า  “เพราะรวยจากโกงชาติ กล้าทำแม้เผาบ้านเผาเมืองเพื่อเอาประกัน มีการไตร่ตรองและวางแผนไว้ก่อนทุกขั้นทุกตอนไอ้หมอนี่คิดเป็นจ๊อบๆ" และ กล่าวอีกว่า “วันนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ กับประธานรัฐสภาที่เพิ่งหมดวาระไปไปหาหัวหน้าจิ๋ว คุยกุ๊กกิ๊กอะไรตนไม่รู้ แล้วในที่สุดให้ นายทนง พิทยะ มาเป็น รมว.คลัง เข้ามาไม่กี่วันก็ลอยตัวค่าเงินบาท จาก 26 บาท ขึ้นเป็น 50 บาท พี่น้องคนไทยเจ๊งเป็นเอ็นพีแอลทั้งประเทศ พอเสร็จภารกิจก็ลาออกเลย มาจัดตั้งรัฐบาลใหม่”

ซึ่งจะหาผู้ที่รู้เท่าท่านอดีตเลขาธิการพรรค ทรท. คนแรกก็คงยาก เพราะท่านเป็นผู้ขายสนามกอล์ฟอัลไพน์ และทักษิณซื้อผ่านชื่อ นายชัยรัตน์ เชียงพฤกษ์ นายวิชัย ช่างเหล็ก และนางสาวบุญชู เหรียญประดับ พร้อมๆกับวินมาร์คที่ซื้อหุ้นอสังหาริมทรัพย์จาก พ.ต.ท. ทักษิณ และ คุณหญิง พจมาน 5-6 บริษัท 1,500 ล้านบาท (พาร์ทุกบริษัท) ตั้งแต่ปี 2543 ก่อนเป็นนายกฯด้วย โดย เป็นไปได้หรือไม่ ที่เงินซ่อนมหาศาล เริ่มจากการทำกำไรค่าเงิน เพื่อความเป็นธรรม อาจไม่ถึงเป็นแสนล้านบาท เพราะเป็นเวลานานมาแล้ว อาจจะได้จากการลงทุนเพิ่มและการ “เติมเงิน” สกปรกเพิ่มอีกก็เป็นได้

5.   เพื่อปกปิดเรื่องนี้หรือไม่ จึงต้องกลับมาสร้างความวุ่นวายในชาติ ? การเคลื่อนไหวป่วนเมืองของพรรคพวก แม้ว่าจะอ้างการต้านรัฐประหาร แต่มักจะเคลื่อนทุกครั้งที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ต้องจำนนกับคดีความมากกว่า เพราะทหารก็ไม่ได้อยู่ในอำนาจแล้ว คนที่อยู่ในอำนาจ คือน้องเขยตัวเอง ล่าสุด ถึงกับ “ใส่ร้าย” และ “บิดเบือน” ว่า กระบวนการยุติธรรมนั้น เป็น “รัฐประหารซ่อนรูป”

ถ้าเป็นการตัดสินกันโดยศาลทหาร รวบรัดด้วยอำนาจ ก็ว่าไปอย่าง คนคงเชื่อ แต่นี่ พ.ต.ท. ทักษิณ ไม่เคยเอาหลักฐาน ความจริงมาโต้แย้ง แต่ป้ายสี ผูกโยง อย่างไร้เหตุผลว่าเป็นรัฐประหารซ่อนรูป

เช่นคดีที่ดินรัชดาที่ต้องจำนน ส่งจดหมายฟ้องทั่วโลก ตำหนิแผ่นดินแม่ ว่าภรรยาเพียงซื้อที่ดินก็ผิด และโฟนอินด้วยการให้ความข้างเดียวกับพวกพ้องว่า เป็น “กระบวนการยุติความเป็นธรรม” แต่ท่านมิได้อธิบายเหตุผลในการตัดสินคดี เช่นพิรุธต่างๆว่า ในการประมูลครั้งแรก มีราคากลาง 870 ล้านบาท มีผู้จ่ายมัดจำรายละ 10 ล้านบาทแล้ว 3 รายกลับไม่ได้ยื่นประมูล (ปกติ ถ้าไม่ประมูล ก็คงไม่จ่ายมัดจำ) แล้วจึงจัดประมูลครั้งที่ 2 ยกเลิกราคากลางทำให้น่าสนใจมากขึ้น แต่กลับเพิ่มเงินมัดจำ จาก 10 ล้านบาท เป็น 100 ล้านบาท ทำให้เหลือน้อยรายเท่านั้น และหลังจากที่ภรรยาได้ที่ดินแล้ว ก็มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายโดยยกเลิกการจำกัดความสูง แม้ไม่เป็นความผิด แต่เป็นพิรุธยืนยันว่า การทำผิด พ.ร.บ. ปปช. มาตรา 100 และมาตราอื่นๆ เรื่องความขัดกันของผลประโยชน์ ท่านก็ไม่ได้พูด

นี่คงเป็นเหตุที่ท่านให้รัฐบาลโนมินี ดังที่ท่านอ้างว่า ยังไม่ทันได้ทำงานอะไร แต่ได้มุ่งทำสิ่งที่สำคัญสำหรับท่าน คือ การบิดเบือนคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้น เอสซี แอสเสท (SC) ด้วยการ ย้ายดีเอสไอ และล่าสุด ทั้งๆที่ นายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ โฆษกสำนักงานอัยการฯ ได้ให้ความจริงที่เปิดโปง ท่าน และ ภรรยา ว่า "ส่วนการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมานนั้น อัยการเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ทั้งสองไม่ได้เป็นผู้ดำเนินการซื้อ-ขายหุ้นด้วยตัวเอง แต่ซื้อขายหุ้นผ่านกองทุนแล้ว...”
 
แสดงว่า เป็นเจ้าของหุ้น SC ผ่านกองทุนลับจริง แต่สำนักงานอัยการสูงสุดกลับสั่งไม่ฟ้องคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้น เอสซี แอสเสท !

น่าสงสารประเทศไทย ที่คนๆหนึ่ง ได้รับพระคุณแผ่นดินมหาศาลกว่าใครๆในประวัติศาสตร์ ทั้งพระคุณบนโต๊ะ และพระคุณแผ่นดินที่นำไปซุกซ่อน แต่เมื่อต้องจำนนต่อหลักฐานของการกระทำผิด กลับเลือกที่จะสร้างความปั่นป่วน บิดเบือน ยอมเสียสละความสงบสุขของแผ่นดินแม่ เพียงเพื่อปกปิดความผิดของตนเอง
แล้วคนไทยก็ต้องอดทนต่อไป
ไทยทน

เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์