“มท.1”ถกเครียด”บิ๊กกากี”สั่งทุกหน่วยเตรียมพร้อม

วันนี้ ( 28 ส.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
 
ระหว่างที่ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว. มหาดไทย ร่วมประชุมหารือกับนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่อย่างเคร่งเครียดภายในห้องประชุมชั้น 2 กองบัญชาการตำรวจนครบาล มีการสั่งการให้กำลังตำรวจทุกหน่วยเตรียมความพร้อม ณ ที่ตั้ง รวมถึงกำลังเสริมที่อยู่ภายในสนามม้านางเลิ้ง สามารถเข้าประจำการได้ทันที  เพื่อกดดันเคลื่อนย้ายกลุ่มผู้ชุมนุมให้ออกจากทำเนียบรัฐบาล ประกอบด้วย ตำรวจชุดปราบจลาจล ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ตำรวจ 191 หน่วยอรินทราช ตำรวจภูธร ภาค 1 ตำรวจภูธร ภาค 2 ตำรวจภูธร ภาค 7 ซึ่งทุกหน่วยงานพร้อมปฏิบัติอยู่แล้วเพียงแต่รอคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาระดับสูงเท่านั้น   พร้อมกันนี้ยังคงเตรียมรถคุมขังผู้ต้องหาซึ่งจอดอยู่โดยรอบลานพระบรมรูปทรงม้า แยกมิสกวัน สะพานชมัยมรุเชษฐ และบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์

พล.ต.อ.โกวิท เปิดเผย

ก่อนร่วมประชุมสรุปการปฎิบัติงานดูแลกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในทำเนียบรัฐบาล พร้อมประเมินสถานการณ์ความเคลื่อนไหวและหารือยุทธวิธีการดำเนินการ หลังพันธมิตรฯ ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาลแพ่ง ว่า คนไทยด้วยกันไม่อยากใช้ความรุนแรง  แต่ให้คอยดูตำรวจมีวิธีจัดการในฐานะผู้รักษากฎหมาย ก่อนบ่ายวันนี้จะมีความชัดเจนมากขึ้น

ต่อมากองบัญชาการตำรวจนครบาล

ได้ออกประกาศเตือนให้ผู้ชุมนุมปฏิบัติตามคำสั่งศาลอย่างเคร่งครัดพร้อมนำใบประกาศไปแจกจ่ายบริเวณที่มีการชุมนุมและขอความร่วมมือให้ออกนอกบริเวณโดยเร็ว โดยรื้อถอนเวทีปราศรัย และให้เคารพคำสั่งศาลให้เกิดความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง

ด้าน พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กล่าวว่า
 
ปัญหาที่เกิดขึ้นจนถึงขณะนี้คือ กลุ่มผู้ชุมนุมยังไม่ทราบว่าการออกมาชุมนุมนั้นผิดกฎหมาย ส่วนในช่วงเช้าวันนี้เจ้าหน้าที่ศาลแพ่งได้นำใบติดประกาศแจ้งให้กลุ่มผู้ชุมนุมทราบ ส่วนกลุ่มผู้ชุมนุมจะยื่นอุทธรณ์ต่อศาลแพ่งนั้นเห็นว่า สามารถทำได้แต่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของศาลทันที แต่หากกลุ่มผู้ชุมนุมไม่ปฏิบัติตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเสนอต่อศาลให้มีการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่บังคับคดี

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยืนยันว่า
 
กรณีที่ศาลอาญาออกหมายจับ 9 แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถเข้าจับกุมแกนนำทั้งหมดได้ เห็นว่าหากเข้าไปดำเนินการเวลานี้จะทำให้เกิดความสูญเสียได้ ดังนั้นการปฏิบัติการต้องทำด้วยความละมุนละม่อม และใช้วิธีการเจรจา พร้อมกับเห็นว่า แกนนำที่โดนออกหมายจับควรต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม เพราะเชื่อว่าปัญหาที่เกิดขึ้น ท้ายที่สุดจะมีศาลเป็นคนกลางในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททั้งหมด.