ยึดทรัพย์! สุพจน์ 46 ล้าน พร้อมดอก-ผล! ตกเป็นของแผ่นดิน!

ยึดทรัพย์! สุพจน์ 46 ล้าน พร้อมดอก-ผล! ตกเป็นของแผ่นดิน!



วันที่ 31 มกราคม ผู้สื่อข่าวรายงานจากศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก ว่า

วันที่ 30 มกราคมที่ผ่านมา ศาลได้อ่านคำสั่งคดียึดทรัพย์ หมายเลขดำที่ ปช.1/2555 ที่อัยการสูงสุด ได้ยื่นคำร้องวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2555 ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินของนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม กับพวกเป็นเครือญาติ 7 คน ผู้คัดค้าน อาทิ เงินสด เงินฝากในธนาคารพาณิชย์ต่างๆ รวม 9 บัญชี เงินฝากในสหกรณ์ออมทรัพย์กรมทางหลวง โฉนดที่ดินย่านต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด บ้านพัก รถยนต์ ห้องชุด รวมมูลค่าทั้งสิ้น 46,998,587 บาท พร้อมดอกผล ตกเป็นของแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 4 และมาตรา 80(2)
 
เนื่องจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบทรัพย์สินแล้วชี้มูลความผิดว่านายสุพจน์มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ โดยไม่สามารถชี้แจงที่มาของทรัพย์สินต่างๆ ได้ โดยนายสุพจน์อ้างว่า การที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ขอให้ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลให้ทรัพย์สินที่ผู้คัดค้านมีมาอยู่เดิม และได้มีมากว่า 10 ปี ตกเป็นของแผ่นดินนั้นเป็นการใช้อำนาจตามอำเภอใจ ทำให้ผู้คัดค้านได้รับความเสียหาย และได้ยื่นบัญชีแสดงต่อคณะอนุกรรมการ ป.ป.ช.ไปแล้ว โดย ป.ป.ช.ไม่แสดงความเห็นคัดค้านแต่อย่างใด 
                  
 ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า กรณีเงินสดของกลาง 18,121,000 บาท  และทองคำรูปพรรณหนัก 10 บาท ในคดีอาญา 2458/2554  ของ สน.วังทองหลาง ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติว่า เงินของกลางบางส่วนจำนวน 568,000 บาท เป็นเงินรับไหว้ โดยผู้ร้องขอให้เงินของกลางจำนวนที่เหลือ 17,553,000 บาท พร้อมทองรูปพรรณหนัก 10 บาท มูลค่า 260,000 บาท ตกเป็นของแผ่นดินหรือไม่นั้น จากเหตุการณ์เมื่อคืนวันที่ 12 พฤศจิกายน 2554 มีคนร้าย 8 คน บุกเข้าปล้นบ้านนายสุพจน์ ภายในซอยลาดพร้าว 64 และถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมได้เข้าเบิกความยืนยันในทิศทางเดียวกันว่า ทรัพย์ทั้งหมดได้มาจากการปล้นทรัพย์
 
มีความน่าเชื่อถือสมเหตุสมผล เพราะปกติแล้วจะไม่มีคนร้ายคนใดไปขวนขวาย แสวงทรัพย์สินอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง และยังต้องคืนให้แก่ผู้เสียหาย กรณีจึงยังไม่มีเหตุผลและความจำเป็นที่เจ้าพนักงานตำรวจและคนร้าย จะร่วมมือกันบิดเบือนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับทรัพย์ของกลาง ส่วนข้อต่อสู้ของนายสุพจน์ที่ว่าทรัพย์ของกลางในคดีคือทองรูปพรรณหนัก 10 บาท พร้อมเงินสด หลังหักเงินรับไหว้ที่ผู้ร้องมิได้ให้ตกเป็นของแผ่นดิน 568,000 บาท กับเงินที่เป็นของผู้คัดค้านที่ 6, 7 จำนวน 4,500,000 บาท แล้วคงเหลือ 13,053,000 บาท ไม่ใช่เป็นของนายสุพจน์นั้นเป็นการกล่าวอ้างลอยๆ ขัดต่อเหตุผล เพราะหากมิใช่ทรัพย์สินที่ได้จากการปล้นทรัพย์บ้านนายสุพจน์ ก็ไม่น่าที่เจ้าพนักงานจะสามารถรวบรวมทรัพย์สินจำนวนมากดังกล่าวได้มาจากคนร้าย และนำมารวบรวมเก็บไว้เป็นทรัพย์ของกลาง จึงเชื่อว่าทรัพย์ของกลางเป็นทรัพย์สินที่ได้จากการปล้นทรัพย์
 
นอกจากนี้ จากการรับฟังการไต่สวนพยานฝ่ายนายสุพจน์ ผู้คัดค้าน กับพวกแล้ว ล้วนแต่เป็นพยานผู้ใกล้ชิดมีส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันเบิกความลอยๆ ปราศจากหลักฐาน ขัดต่อเหตุผลหลายประการ รวมทั้งการโต้แย้งและคัดค้านของนายสุพจน์ไม่อาจจะนำมารับฟังได้ เช่น การอ้างว่าเข้ารับราชการตั้งแต่เมื่อ พ.ศ.2520 จนกระทั่งถึงวันยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ.2545 มาคิดคำนวณแล้วจะเป็นเงินประมาณ 5,000,000 บาทเศษ ก็น่าเคลือบแคลงสงสัยมากขึ้นไปกว่าเดิม เพราะเหตุใดนายสุพจน์จึงมีทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ แล้วจะมีทรัพย์สินรวมกันจนถึงวันที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ลงมติว่าร่ำรวยผิดปกติเมื่อปี พ.ศ.2545 มีมูลค่าสูงถึง 46 ล้านบาทเศษ ที่ศาลนำมาวินิจฉัย ซึ่งนายสุพจน์จะต้องนำพยานหลักฐานมาพิสูจน์แสดงให้กระจ่างแจ้งถึงที่มาที่ไปในการได้ทรัพย์สินดังกล่าวมาตลอด รวมถึงเงินเดือนที่รับราชการ
 
ย่อมไม่อาจเป็นไปได้ที่จะเพียงพอมาหาซื้อทรัพย์สินจำนวนมาก ข้ออ้างของนายสุพจน์ เป็นการกล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอย ปราศจากหลักฐานที่ยืนยันชัดเจน ทั้งยังจะสื่อแสดงให้เห็นว่าเงินที่ได้มานี้มีจำนวนมากพอจะไปแสวงหาเป็นทรัพย์อื่นจนพอกพูนเพิ่มมากขึ้น และยังเป็นการขจัดข้อสงสัยของวิญญูชนทั่วไปว่าเหตุใดนายสุพจน์มีอาชีพรับราชการ และมีภาระต้องเลี้ยงดูครอบครัวบุตร 2 คน ที่ศึกษาจนจบชั้นปริญญาตรี และไปศึกษาต่อต่างประเทศ จะไม่มีปัญหาต่อทรัพย์สินให้ลดน้อยลง แต่กลับเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ
 
จึงถือไม่ได้ว่านายสุพจน์ได้นำสืบให้รับฟังได้ว่าตนไม่ได้ร่ำรวยผิดปกติตามภาระหน้าที่ดัง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 81 วรรคสอง จึงต้องฟังข้อเท็จจริงไปตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติและนำสืบแสดงไว้ แต่จากการไต่สวนผู้คัดค้านทั้ง 7 สามารถพิสูจน์ทรัพย์สินได้บางส่วน

พิพากษาว่า ให้ทรัพย์สินรวม 19 รายการ รวมมูลค่าทั้งสิ้นจำนวน 46,141,038.83 บาท ของนายสุพจน์กับพวก พร้อมดอกผลของเงินหรือทรัพย์สินที่เกิดขึ้นตกเป็นของแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 ให้นายสุพจน์ส่งมอบทรัพย์สิน และเอกสารที่เกี่ยวข้องพร้อมดอกผลให้แก่แผ่นดินโดยผ่านกระทรวงการคลัง หากไม่สามารถดำเนินการให้ทรัพย์สินใดได้แก่แผ่นดิน ให้นายสุพจน์ชดใช้เงินหรือโอนทรัพย์สินตามจำนวนมูลค่าที่ยังขาดอยู่แก่แผ่นดินจนครบ

สำหรับผู้คัดค้านทั้ง 7 คน ประกอบด้วยนาย สุพจน์ ทรัพย์ล้อม, นางนฤมล หรือเพ็ญพิมล ทรัพย์ล้อม, น.ส.สุทธิวรรณ ทรัพย์ล้อม, นายชาลี ชัยมงคล ,นายอเนก จงเสถียร, นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่, น.ส.สุทธาวรรณ ทรัพย์ล้อม หรือปราบใหญ่
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ในวันที่ 24 ก.ค.2555 คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีมติด้วยคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ว่านายสุพจน์ร่ำรวยผิดปกติจำนวน 64,998,587.52 บาท และให้ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน 

ตามมาตรา 80 แห่ง พ.ร.บ.ป.ป.ช.พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม 2554 ต่อ

เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์