เด็กไทยใจแตก! แค่ 10ขวบตั้งท้อง

พบข้อมูลการตั้งครรภ์ วัยโจ๋ ในรอบปี" 44-52 สถิติหญิงสาววัยรุ่นตั้งท้องเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 40

อีกทั้งมีแนวโน้มที่อายุจะลดลงเรื่อยๆ กมธ.วุฒิสภาสัมมนา เผยข้อมูลปี"44-50 ระบุพบเด็กหญิงอายุ 10 ขวบ ตั้งครรภ์ถึง 60 คน ชี้ส่งผลอันตรายต่อทั้งแม่และเด็ก รวมถึงทำให้มีปัญหาทางด้านสังคมและเศรษฐกิจ

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 21 ธ.ค. ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา จัดสัมมนาเรื่อง "การตั้งครรภ์ในวัยรุ่น"

โดยพ.ญ. พรพันธุ์ บุณยรัตพันธุ์ ส.ว.สรรหา ในฐานะประธานคณะอนุกรรมาธิการศึกษาปัญหาสาธารณ สุขที่สำคัญของประเทศ กล่าวว่า ปัญหาจากการที่วัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานเพิ่มขึ้น ผลสำรวจระหว่างปี 2544-2552 พบว่าการตั้งครรภ์ในสตรีวัยรุ่นเพิ่มขึ้นจาก 10% มาเป็น 40% ขณะเดียวกัน แนวโน้มของวัยรุ่นที่ตั้งครรภ์จะมีอายุต่ำกว่า 20 ปี และมีแนวโน้มที่มีอายุต่ำลงเป็นระยะ โดยเฉพาะการสำรวจในระหว่างปี 2544-2550 มีข้อมูลว่าเด็กหญิงอายุ 10 ขวบ มีการตั้งครรภ์จำนวน 60 คน ในความเป็นจริงเชื่อว่าน่าจะมีตัวเลขมากกว่านี้ เพราะตัวเลขดังกล่าวเป็นเพียงการสำรวจในโรงพยาบาลของรัฐเท่านั้น

"ตัวเลขที่ออกมาดูเหมือนว่าจะสะท้อนภาพดีเกี่ยวกับภาวะโภชนาการในไทย เพราะการที่เด็กอายุ 10 ขวบ สามารถตั้งครรภ์ได้ แสดงว่าสภาวะการโภชนาการที่ดีมาก ปกติแล้วเด็กผู้หญิงจะมีประจำเดือนครั้งแรกเมื่ออายุ 13 ปี แต่ก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจนักถ้าเด็กหญิงที่ตั้งครรภ์มีอายุน้อยลงขนาดนี้ เพราะทำให้มีปัญหาทางด้านสังคมและเศรษฐกิจตามมาอีกจำนวนมาก" พ.ญ.พรพันธุ์กล่าว

พ.ญ.พรพันธุ์ กล่าวว่า ตัวเลขที่ออกมานี้จะนำมาซึ่งปัญหาอีกมาก เช่น เรื่องสุขภาพของแม่

เนื่องจากการตั้งครรภ์ในกรณีที่มีอายุน้อยจะคลอดยาก เพราะเชิงกรานยังไม่ขยายตัวเต็มที่ เสี่ยงต่อการเสียชีวิตทั้งแม่และทารก ยังไม่นับโอกาสที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนที่จะตามมาอีกมาก หรือในกรณีถ้าคลอดได้เด็กที่ออกมาจะมีน้ำหนักตัวต่ำกว่า 2,500 กรัม ส่งผลให้เมื่อเด็กโตไปเข้าสู่วัยกลางคนจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูงมากกว่าปกติ ตามเกณฑ์ปกติแล้วเด็กที่คลอดออกมาควรมีน้ำหนักประมาณ 3,000 กรัมถึงจะปลอดภัย

ด้านน.พ.กิตติพงศ์ แซ่เจ็ง ผอ.กองอนามัยการเจริญพันธุ์ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า แม้ตัวเลขของการตั้งครรภ์จะเพิ่มขึ้นก็จริง

แต่ส่วนใหญ่เป็นการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประ สงค์ในวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 20 ปี ทำให้มีการทำ แท้งจำนวนมาก จนนำมาสู่อัตราการเจริญพันธุ์รวมของสตรีไทยมีแนวโน้มลดต่ำลงถึง 1.5% ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปจะส่งผลต่ออัตราประชากรในอนาคต ปัญหาการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ มีสาเหตุสำคัญจากการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกโดยไม่มีการป้องกันถึง 34.9% เพราะมีค่านิยมที่คิดว่าการใช้ถุงยางอนามัยเป็นการขัดขวางความรู้สึกทางเพศ รวมไปถึงการมองว่าเรื่องเซ็กซ์เป็นเรื่องปกติและเป็นเครื่องมือพิสูจน์ความรัก

น.ส.ธัญญา ใจดี ผู้ประสานงานฝ่ายวิจัยและข้อมูลมูลนิธิสร้างความเข้าใจเรื่องสุขภาพผู้หญิง (สคส.) กล่าวว่า ทางออกของปัญหานี้ภาครัฐจะต้องรณรงค์เพื่อแก้ไขค่านิยมในเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่นใหม่

โดยสร้างความหมายใหม่ของคำว่า ชายชาตรี คือ การเคารพตัวเองและมีความรับผิดชอบ ไม่ให้มีความหมายเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์เหมือนที่ผ่านมา ที่สำคัญต้องมีการสอนเรื่องเพศวิถีอย่างจริงจัง เพราะปัจจุบันยังไม่มีงานวิจัยที่ไหนในโลกที่ยืนยันว่าการสอนให้เยาวชนงดเว้นเพศสัมพันธ์ช่วยชะลอเพศสัมพันธ์ได้ ตรงกันข้ามกลับมีงานวิจัยสนับสนุนโดยรัฐบาลสหรัฐอเมริกายืน ยันได้ว่าหลักสูตรเพศศึกษารอบด้านไม่ได้ทำให้มีเพศสัมพันธ์บ่อยขึ้นหรือเร็วขึ้น จึงถึงเวลาแล้วที่ควรมีการสอนให้เยาวชนไทยรู้ถึงเรื่องเพศวิถีให้ถูกต้องมากขึ้นเพื่อป้องกันการท้องไม่พึงประสงค์

น.ส.ลัดดา ตั้งสุภาชัย ผอ.ศูนย์เฝ้าระวังทางวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม กล่าวถึงมาตร การในการป้องกันแก้ไข และการให้ความช่วยเหลือ

ยอมรับว่าการแก้ปัญหาดังกล่าวยังไม่ประสบความสำเร็จ เพราะต่างคนต่างทำงานไม่ได้มีการบูรณาการร่วมกันทั้งหน่วยงานที่เกี่ยว ข้อง จนกระทั่งเอ็นจีโอ สังคมยังเกิดช่องว่างในการศึกษา พ่อแม่บางคนก็ไม่มีความรู้ที่จะสอนลูกในเรื่องเกี่ยวกับเพศศึกษา นอกจากนี้ การเมือง ก็เป็นเรื่องสำคัญจะต้องเป็นหลักในการแก้ไขปัญหา แต่สถานการณ์การเมืองไม่นิ่ง ผลัดเปลี่ยน รัฐบาลบ่อยๆ หรือแม้แต่ ครม.ก็มีแต่ ครม. เศรษฐกิจ ไม่มี ครม.สังคม ขณะที่ปัญหาสังคมนับวันจะเติบโตไปเรื่อยๆ ก็ถือเป็นอุปสรรค เพราะไม่มีมาตรการหรือวางแผนที่รองรับปัญหาได้ทันที โดยเฉพาะกับสื่อที่ทันสมัยและเสี่ยงต่อปัญหาสังคมจะพัฒนาออกมาเรื่อยๆ

ขณะที่นายประวีณ พยับวิภาพงศ์ รอง ผอ. สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน กล่าวว่า ปัญหาเรื่องเพศเหล่านี้จะต้องแก้ไขโดยวิธีธรรมชาติ

ไม่เห็นด้วยกับการห้ามไม่ให้เด็กวัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์ โดยบอกว่าให้รอวัยอันสมควรก่อน ตนเห็นว่ามีเพศสัมพันธ์ได้แต่ต้องสอนให้รู้จักวิธีป้องกัน จะต้องให้การศึกษาเรื่องเพศศึกษา ทั้งในและนอกสถานการศึกษา ถุงยางอนามัยจะต้องมีให้บริการนอกจากโรงแรมแล้ว จะต้องมีตามหอพัก อพาร์ตเมนต์ และที่สำคัญเราจะต้องฉีกความอายยอมรับความจริงว่าอาชีพขายบริการ มีเกือบทุกประเทศทั่วโลก แม้แต่ประเทศไทยก็เช่นกัน ควรจะมีสถานบริการที่จดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งนอกจากจะลดคดีข่มขืนแล้ว ยังสามารถควบคุมโรคและเพื่อจัดสวัสดิ การให้ผู้บริการเหล่านี้ด้วย

เครดิต :
เครดิต : เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์ข่าวสด


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์