ตัวเลขผู้อพยพที่เสียชีวิตจากการเดินทางข้ามชายแดนสหรัฐฯ - เม็กซิโก พุ่งสูงขึ้น หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ รับตำแหน่งประธานาธิบดี
นางสาวจูเลีย แบล็ก จากโครงการ Missing Migrants ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรนานาชาติเพื่อการอพยพ (IOM) ระบุว่า ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2017 อัตราการเสียชีวิตของผู้อพยพที่ได้รับการบันทึกไว้มีมากถึง 232 ราย ซึ่งเพิ่มขึ้น 17% เมื่อเทียบกับอัตราการเสียชีวิต 204 รายในช่วงครึ่งแรกของปี 2016
ในเดือนกรกฎาคม ยังมีการพบศพจำนวน 50 ศพ ซึ่งถือว่ามากที่สุดเท่าที่มีบันทึกไว้ในปีนี้ โดยศพเหล่านี้จะกระจัดกระจายอยู่ในหลายพื้นที่ รวมทั้งบริเวณริมแม่น้ำริโอแกรนด์ เนื่องจากเป็นจุดที่ผู้อพยพนิยมมาข้ามแดน ประกอบกับฝนที่ตกหนักเมื่อ 2 - 3 เดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้แม่น้ำริโอแกรนด์ไหลบ่าเร็วขึ้นและลึกขึ้น จนกลายเป็นจุดที่อันตรายที่สุดจุดหนึ่ง
นอกจากนี้ อีกหนึ่งจุดข้ามแดนที่อันตรายที่สุดก็คือ พีมาเคานท์ตี ในรัฐแอริโซนา ที่มีอุณหภูมิสูงถึง 100 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ 38 องศาเซลเซียส โดยในปีนี้มีการพบศพแล้วถึง96 ศพ ซึ่งอาจจะมีตัวเลขมากกว่านี้แต่ยังไม่มีการรายงาน
อย่างไรก็ตาม รายงานนี้ไม่ได้ชี้ชัดถึงสาเหตุของตัวเลขที่เพิ่มขึ้น แต่ก็มีการบันทึกไว้ว่านโยบายผู้อพยพของสหรัฐฯ ที่เข้มงวดมากขึ้น ถือเป็นปัจจัยที่ทำให้คนเลือกเดินทางข้ามแดนในจุดที่เสี่ยงอันตรายมากกว่าเดิม โดยกลุ่ม No More Deaths ซึ่งเป็นกลุ่มทนายในแอริโซนา อ้างว่านโยบายผู้อพยพมีความโหดร้ายขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับเลือกตั้งในปี 2016
โครงการ Missing Migrants ได้จัดทำบัญชีรายชื่อผู้อพยพที่เสียชีวิตบริเวณชายแดนสหรัฐฯ - เม็กซิโก จำนวน 1,250 ราย ตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งมีตัวเลขเพิ่มขึ้นในปี 2017